ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 108
บทที่ 108
ลิ่นเฉิงโย่วกำลังประหลาดใจ ก็ได้ยินอู่ฉี่เอ่ยว่า “พวกนางอยู่ในสภาพใด แล้วข้าอยู่ในสภาพใด”
เขาถูกคำพูดประโยคนี้เรียกสติกลับมา เถิงอวี้อี้ไม่มีทางเป็นเช่นนี้โดยไม่มีเหตุผลแน่ ตอนนี้รอบกายหูตาผู้คนเต็มไปหมด มีเรื่องอะไรก็คงต้องเอาไว้ค่อยถามวันหน้าแล้ว เขาจึงเก็บงำความกังวลและความสงสัยในใจเอาไว้ แล้วดึงความสนใจมาอยู่ที่สถานการณ์ตรงหน้า
“เติ้งเหวยหลี่มีสกุลเติ้งกับจวนเว่ยกั๋วกงประคบประหงมเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ฐานะสูงส่งสุขสบายมาตั้งแต่เด็ก” อู่ฉี่เอ่ยวาจาเสียงดังฉะฉาน “บิดาของเถิงอวี้อี้เป็นขุนนางหัวเมืองที่อำนาจบารมีลือลั่นทั่วสารทิศ แต่ไหนแต่ไรมาทำตามใจปรารถนา ตู้ถิงหลันเป็นบุตรสาวคนโตของครอบครัว ไม่จำเป็นต้องทนกับความลำเอียงของพ่อแม่และพี่ชายตลอดเวลาเหมือนข้า พวกนางอยู่ในจวนอยากจะทำสิ่งใดก็ทำ อยากจะพูดอะไรก็พูด ต่อให้ไม่ถูกเลือกเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ครอบครัวก็พยายามสรรหาคู่ครองที่ดีที่สุดมาให้ พวกนางมีหนทางถอยมากมายนับไม่ถ้วน แล้วข้าเล่า หากข้าไม่ไขว่คว้าด้วยตนเองก็ไม่มีใครมาช่วยหรอก!”
อู่หยวนลั่วกัดฟันกรอด “ดังนั้นแม้แต่พี่ชายเจ้าก็คิดร้ายด้วย? บนเขาหลีซานเรื่องข้อเท้าแพลงทั้งที่เป็นความคิดของเจ้า ตอนหลังกลับบอกปัดว่าข้าบังคับให้เจ้าทำ”
อู่ฉี่หัวเราะเย้ยหยัน “มันผิดตรงที่ใดกัน เดิมทีราชสำนักอาจคัดเลือกพระชายาองค์รัชทายาทจากบุตรสาวของบรรดาเจี๋ยตู้สื่ออยู่แล้ว ด้วยรูปโฉมกับความสามารถของคุณหนูเถิงมีสิทธิ์จะได้รับเลือกสูงมาก หากวางแผนให้พี่ชายมาชอบคุณหนูเถิงสำเร็จ ไม่แน่เรื่องที่นางได้รับเลือกคงไม่มีหวังอีก เตะคู่แข่งที่แข็งแกร่งออกไปเสียแต่เนิ่นๆ ได้ เหตุใดข้าจะไม่ทำเล่า อีกอย่างข้าไม่ได้ทำร้ายใครนะ พี่ชาย ท่านไม่ใช่ว่าชอบคุณหนู…”
“เล่าเรื่องในคืนเทศกาลอวี้ฝอมาดีกว่า” อยู่ๆ ลิ่นเฉิงโย่วก็เอ่ยตัดบทนาง “ก่อนจะมาที่นี่ข้าไปยืนยันกับพี่ชายเจ้ามาแล้ว คืนนั้นความจริงเขาจะไปส่งพวกเจ้าพี่น้องที่วัดชิงหลงด้วยตนเอง ปรากฏว่าถูกเจ้าหลอกเข้า”
อู่ฉี่เบนสายตามาทางลิ่นเฉิงโย่ว
ลิ่นเฉิงโย่วสีหน้าเย็นชากว่าปกติ “ตอนแรกนัดหมายกับสหายไว้ดิบดีว่าให้มารวมตัวกันที่วัดชิงหลงต้นยามโหย่ว เจ้ากลับบอกเขาว่าเป็นกลางยามโหย่ว รอจนพี่ชายเร่งมาถึงวัดชิงหลงเจ้าก็เกลี้ยกล่อมพี่สาวให้ออกหน้าหลอกล่อคุณหนูเติ้งไปที่สะพานแล้ว ภายหลังยังใช้วิธีการบางอย่างทำให้พี่สาวไม่ได้กลับไปยังร้านจวี๋ซวงสักที ปาหี่ฉากนี้คาดเดาได้ไม่ยากเลย เป็นเพียงการใช้ประโยชน์จากคำว่า ‘เชื่อใจ’ สองคำ ข้าเพียงอยากรู้ว่าคืนนั้นเครื่องประดับกับจดหมายรักที่มอบให้คุณหนูเติ้งมาจากที่ใดกัน เครื่องประดับคือต่างหูมุกล้อแสงจันทร์ที่ราคาสูงลิ่ว ส่วนจดหมายรักก็ปลอมลายมือข้า แผนการที่พวกเจ้าเตรียมมาทั้งหมดนี้เพื่อต้องการให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าข้ากับคุณหนูเติ้งมีความสัมพันธ์ส่วนตัว ยายเฒ่าหวังรู้จักขุนนางในราชสำนักบางคนใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงปลอมลายมือข้าได้”
“ข้าไม่รู้ว่านางทำได้อย่างไร” อู่ฉี่ตอบเสียงเย็นเยียบ “ทุกครั้งนางจะเล่าส่วนหนึ่งของแผนการกับข้า แล้วกำชับข้าให้จัดการเรื่องทางนี้ให้ดีก็พอ อีกส่วนหนึ่งจะไม่ยอมให้ข้าซักถามเลย ดูอย่างแผนการในวันนี้ข้าก็เพิ่งรู้เมื่อคืนว่ากระดาษคัดบทกวีของคุณหนูตู้ไปอยู่ในมือของจิ้นซื่อผู้หนึ่งที่ชื่อหลูจ้าวอันแล้ว ยายเฒ่าหวังบอกว่าคืนนี้หลูจิ้นซื่อก็ตามเสด็จออกนอกเมืองด้วย ให้ข้าหาวิธีสาดชายกระโปรงของสองพี่น้องสกุลเผิงจนเปียกตอนเขาปรากฏตัว”
ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มเยาะ “เจ้าไม่รู้แผนการทั้งหมด แต่ต้องรู้เวลาที่พวกเขาจะลงมือแน่ คืนนั้นตอนแพะรับบาปที่ชื่อฮั่วซงหลินใช้วิชามารชิงเสี้ยววิญญาณพี่สาวเจ้าไป เจ้ากับสหายคนอื่นนั่งคุยเล่นกันอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างในร้านจวี๋ซวง เจ้าทำเช่นนี้ก็เพื่อตัดตนเองออกจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปอย่างหมดจด แต่ตอนนั้นขอเพียงเจ้าตะโกนออกมาคำเดียวก็ยับยั้งโศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้ทันที เจ้ากลับมองดูพี่สาวตนเองถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตาทั้งที่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เจ้าไม่เคยเห็นใจนางสักนิดเลยหรือ”
“แล้วเหตุใดข้าต้องเห็นใจด้วย” เสียงอู่ฉี่แหลมสูงขึ้นมาทันควัน “บนเขาหลีซานครั้งนั้นนางรู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าหญิงชาวนานั่นเป็นคนที่ฮองเฮาเตรียมไว้เพื่อลองใจพวกเรา นางย้อนกลับไปเองคนเดียว เคยคิดจะเตือนข้าบ้างหรือไม่ นางไปร่วมคัดเลือกพระชายาองค์รัชทายาทแทนข้า หลังจากนั้นเคยขอโทษข้าสักคำหรือไม่ หากในหัวใจในสายตาของนางยังมีน้องสาวอย่างข้า ข้าก็คงไม่ทำเรื่องใจร้ายถึงเพียงนี้…”
อู่หยวนลั่วตะคอกตัดบทนาง “ต้าเหนียงไม่เคยรู้มาก่อนว่าเหตุการณ์วันนั้นเป็นการลองใจ เรื่องนี้ท่านพ่อท่านแม่ก็ถูกปิดปังไว้เช่นกัน ที่ต้าเหนียงยอมย้อนกลับไปนั่นเป็นเพราะเนื้อแท้นางเป็นคนใจดีมีเมตตา! ส่วนเจ้าหากมีใจสงสารหญิงชาวนาผู้นั้นบ้างยังต้องให้คนอื่นมาเตือนด้วยหรือ เรื่องมาถึงวันนี้แล้วเจ้ายังไม่เข้าใจอีกใช่หรือไม่ เจ้าเป็นคนแล้งน้ำใจเห็นแก่ตัว ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นเช่นนี้มาตลอด”
อู่ฉี่หรี่ตาลงทันใด
อู่หยวนลั่วจ้องหน้าอู่ฉี่ตรงๆ พลางเอ่ยเสียงเฉียบขาด “เจ้าพร่ำบอกไม่ขาดปากว่าท่านพ่อท่านแม่กับพี่ชายลำเอียง กลับลืมไปแล้วกระมังว่าหลายปีมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ได้ เจ้าลืมไปแล้ว ข้าจะช่วยรำลึกความหลังให้เจ้าเอง” เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “คนทั่วไปตั้งครรภ์สิบเดือน แต่เจ้าอยู่ในครรภ์ท่านแม่เจ็ดเดือนก็คลอดออกมาแล้ว ท่านพ่อท่านแม่กลัวว่าจะเลี้ยงเจ้าไม่รอด จึงตั้งใจเชิญผู้มีวิชามาทำนายดวงชะตาให้เจ้า เดิมทีรอฟังถ้อยคำที่เป็นมงคล ทว่าผู้มีวิชาผู้นั้นกลับบอกว่าวันข้างหน้าเจ้าจะนำหายนะมาสู่วงศ์ตระกูล ท่านพ่อโกรธจัดจนสั่งคนให้ขับไล่ผู้มีวิชาผู้นั้นออกจากบ้านไป ทั้งยังรักใคร่เอ็นดูเจ้าไม่น้อยไปกว่าเมื่อก่อน ตอนเด็กๆ เจ้าร่างกายไม่แข็งแรง ส่วนต้าเหนียงสุขภาพแข็งแรง คนทั้งครอบครัวคอยทะนุถนอมเจ้าอยู่กลางฝ่ามือมาตลอด ความเอาใจใส่กับความห่วงใยที่มีให้ต้าเหนียงเทียบกับเจ้าแล้วห่างไกลกันมากนัก”
อู่ฉี่นิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน
อู่หยวนลั่วดวงตาฉายชัดถึงความผิดหวัง “จำได้ว่าปีนั้นตอนเจ้าอายุห้าขวบก็ล้มป่วยเป็นโรคไข้จับสั่นอาการหนักมาก ทุกวันหลังท่านพ่อเลิกประชุมขุนนางกลับมาแล้วเรื่องแรกที่ทำคือมาอยู่ข้างเตียงเป็นเพื่อนเจ้า ส่วนท่านแม่กับข้าเพื่อเฝ้าดูแลเจ้าแล้วยิ่งเหน็ดเหนื่อยไม่ได้พักผ่อนตลอดทั้งวัน หมอบอกว่าต้องการเลือดจากแขนของพี่น้องร่วมอุทรมาเป็นตัวประสานยา ต้าเหนียงก็เพิ่งจะหกขวบ กลับยอมทำตามโดยไม่รีรอ นางกลัวว่าพวกเราจะเหนื่อยจนล้มพับ จึงมาคอยช่วยยกน้ำแกงส่งยา กว่าเจ้าจะหายดีไม่ใช่เรื่องง่าย ต้าเหนียงก็มาติดโรคจากเจ้าอีก แต่เจ้าไม่เคยเห็นใจพี่สาวคนโตที่นอนป่วยอยู่บนเตียงเลย ทั้งยังทำตัวเจ้าอารมณ์โวยวายอยู่ในห้องเพราะคิดว่าท่านพ่อท่านแม่กับพี่ชายง่วนกับการดูแลต้าเหนียงจนละเลยเจ้า เจ้าคลอดก่อนกำหนดร่างกายอ่อนแอ คลอดออกมาแล้วก็ได้รับความรักล้นเหลือจากคนทั้งครอบครัว ผ่านไปนานวันเข้าดูเหมือนเจ้าจะลืมไปว่าพี่สาวก็เป็นบุตรสาวผู้หนึ่งของสกุลอู่ ขอเพียงท่านพ่อท่านแม่แสดงความรักห่วงใยสักหน่อยเจ้าก็จะอาละวาด”