ลิ่นเฉิงโย่วใคร่ครวญแล้วเอ่ยว่า “มิน่าเล่าปีนั้นราชสำนักจับกุมตัวเฮ่าเยวี่ยส่านเหรินกับเหวินชิงส่านเหรินไม่ได้ ที่แท้พวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่มุมใดมุมหนึ่งในฉางอัน คนที่จะรับตัวพวกเขาไว้คงเป็นผู้สูงศักดิ์สักคนของฉางอัน หากว่าพวกเขาสามคนรู้จักกันตั้งแต่ตอนแรกที่หลบหนี นายของเจ้าอาจจะอายุไม่น้อยแล้ว มิตรภาพระหว่างพวกเขาลึกซึ้งมากกระมัง ดังนั้นครั้งก่อนนายของเจ้าผู้นั้นถึงรู้ว่าจิ้งเฉินซือไท่ล้มเหลว ต่อให้สละชีวิตนักรบหน่วยกล้าตายสามสิบสี่คนก็ต้องแย่งชิงดวงวิญญาณของนางไปให้ได้”
ยายเฒ่าหวังตรงหน้าดั่งบ่อน้ำแห้งขอด ลิ่นเฉิงโย่วจะพูดอะไรก็กระตุ้นให้เกิดรอยกระเพื่อมไหวไม่ได้
ลิ่นเฉิงโย่วจู่โจมถามยามอีกฝ่ายพลั้งเผลอ “หนอนกู่ในร่างเจ้าเป็นฝีมือเฮ่าเยวี่ยส่านเหรินหรือเหวินชิงส่านเหรินกันเล่า”
ในที่สุดก้นบ่อน้ำก็เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ
ลิ่นเฉิงโย่วแย้มยิ้มกล่าวต่อ “พวกเขาใช้หนอนกู่กับเจ้าเพราะกลัวว่าเจ้าจะทรยศพวกเขาใช่หรือไม่ เจ้าก็เป็นศิษย์สักคนของสำนักอู๋จี๋ในเวลานั้นกระมัง หรือว่าเป็นคนที่ถูกนักพรตส่านเหรินสองคนนี้ชักนำเข้าสู่ทางมารในภายหลังกันเล่า”
ยายเฒ่าหวังหลับตาลง
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยด้วยความเห็นใจ “รสชาติการเป็นบริวารรับใช้เสือคงไม่ดีเท่าไร หากมีคนช่วยถอนพิษกู่ให้เจ้าได้ เจ้าก็อยากใช้ชีวิตเป็นปกติสุขบ้างเช่นกันใช่หรือไม่”
คิ้วยายเฒ่าหวังกระตุกเบาๆ สีหน้าของนางช่างแปลกพิกล ราวกับกำลังพูดว่า ‘เจ้าหนุ่มปากดี ข้าทนรับทัณฑ์ทรมานได้ เอาชนะการยั่วยุได้ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะใช้วิธีเช่นนี้มาหลอกล่อให้ข้าเปิดปาก’
ลิ่นเฉิงโย่วตระหนักดีว่าครั้งนี้ใช้ยาถูกต้องแล้ว เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในปีนั้นราชสำนักตรวจยึดคัมภีร์ลับของสำนักอู๋จี๋ไปหลายสิบเล่ม เล่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคือ ‘คัมภีร์วิญญาณ’ ซึ่งเล่มนี้เป็นเรื่องถนัดของเฉียนคุนส่านเหริน ในคัมภีร์บันทึกวิชามารที่ใช้กักขังวิญญาณเอาไว้หลายอย่าง แต่ในเวลาเดียวกันจากบรรดาคัมภีร์ที่ถูกตรวจยึดมายังมี ‘คัมภีร์กู่’ อยู่หลายเล่ม ท่านอาจารย์ตาของข้าศึกษาค้นคว้ามาตลอดหลายปี เข้าใจวิธีจัดการพิษกู่ของสำนักอู๋จี๋กระจ่างแจ้งนานแล้ว ขอเพียงเจ้าบอกสิ่งที่ตนเองรู้ออกมา พวกเราก็จะช่วยถอนพิษกู่ให้ทันที”
ยายเฒ่าหวังจ้องหน้าลิ่นเฉิงโย่วไม่วางตา
“ไม่เชื่อหรือ” ลิ่นเฉิงโย่วพูดโกหกโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีสักนิด “ดูข้าเป็นตัวอย่างก็ได้ พิษกู่ในร่างกายข้าถอนออกไปมากกว่าครึ่งแล้ว รายละเอียดว่าถอนอย่างไรนั้นยังบอกเจ้าไม่ได้ชั่วคราว เหลือเพียงขั้นสุดท้ายรอยประทับกู่บนร่างข้าก็จะหายไปอย่างสมบูรณ์ พวกเจ้ารู้จักคุณชายหวังได้ คิดว่าคงสืบเรื่องเกี่ยวกับข้าสารพัดมาก่อน นี่เป็นตัวอย่างที่น่าเชื่อถือที่สุด สำหรับท่านอาจารย์ตาข้าแล้ว พิษกู่ในร่างเจ้าก็ไม่เป็นปัญหาเช่นกัน”
ยายเฒ่าหวังก้มหน้าครุ่นคิด
ลิ่นเฉิงโย่วพยายามหว่านล้อม “พอถอนพิษกู่ในร่างออก ต่อไปก็ไม่มีใครควบคุมเจ้าได้แล้ว ขอเพียงเจ้าช่วยศาลต้าหลี่จับกุมนายของเจ้า ข้าจะช่วยขอลดโทษให้เจ้าได้ตามความเหมาะสม ออกจากคุกไปเจ้ายังสามารถใช้ชีวิตอย่างชาวบ้านทั่วไป ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีก สุดท้ายจะเป็นวิญญาณร้ายอยู่ใน ‘ปรโลก’ ต่อไป หรือจะกลับมาเป็นคนธรรมดาใน ‘โลกมนุษย์’ ก็ขึ้นอยู่กับความคิดชั่วขณะจิตของเจ้าแล้ว”
ยายเฒ่าหวังยังคงไม่ยอมตอบ
ลิ่นเฉิงโย่วมีความอดทนอย่างยิ่ง “ให้เวลาเจ้าครึ่งชั่วยาม ลองคิดดูให้ดี เอาไว้เจ้าคิดออกแล้วก็มาบอกข้า”
อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังเอะอะข้างนอก ที่แท้เป็นหัวหน้าศาลต้าหลี่สองคนกับสหายร่วมงานได้ยินว่ามีคนปล้นคุก ก็เร่งเดินทางออกจากจวนมาถึงแล้ว
เหยียนว่านชุนกับควนหนูเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
มิหนำซ้ำควนหนูยังนำศพของเอ้อจีมาด้วย
คืนนี้หลังสอบสวนได้เบาะแสเกี่ยวกับเอ้อจีจากปากหลูจ้าวอัน ลิ่นเฉิงโย่วก็รีบสั่งให้องครักษ์ลับที่เฝ้าอยู่นอกศาลต้าหลี่ไปแจ้งควนหนูให้รวบตัวนางโดยพลัน แต่เมื่อควนหนูนำกำลังคนบุกเข้าไปนางก็กินยาพิษฆ่าตัวตายไปแล้ว
“ดูจากสภาพศพ คงตายตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้แล้ว” ควนหนูปาดเหงื่อ “สองสามวันมานี้เอ้อจีไม่ย่างเท้าออกจากเรือน กำลังคนหลายกลุ่มผลัดเปลี่ยนกันจับตาดูนาง สองวันเต็มๆ ที่ตอนเช้านางเพียงออกไปซื้อขนมแป้งม้วนยัดไส้จากร้านใกล้ๆ วัดผูถี คิดว่าคงได้ข่าวเรื่องหลูจ้าวอันถูกจับ คิดว่าประเดี๋ยวก็จะสืบสาวมาถึงตัวนาง กลับไปไม่นานก็กินยาพิษฆ่าตัวตายอยู่ในเรือนแล้ว”
“ส่งคนไปเฝ้าร้านขายขนมร้านนั้นทันทีเลยหรือไม่ เถ้าแก่ร้านเป็นใคร”
“ไม่รู้ว่าเถ้าแก่ร้านคือใคร แต่ร้านนี้เปิดกิจการอยู่ในฉางอันมาห้าหกปีแล้ว ตำแหน่งที่ตั้งร้านอยู่ไกลลับตาคน ปกติจึงมีคนไปซื้อไม่มาก ตอนพวกเราเร่งไปถึงก็ปิดร้านไปแล้ว ข้าน้อยแอบทิ้งกำลังคนไว้สองกลุ่มให้คอยจับตาดูอยู่ใกล้ๆ”