สองวันมานี้เถิงอวี้อี้กินอิ่มนอนหลับสบาย หลังการจับกุมอู่ฉี่กับหลูจ้าวอัน เงามืดที่ปกคลุมหัวใจก่อนหน้านี้ก็ลบเลือนหายไปกว่าครึ่ง
แม้จะยังสืบไม่ได้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร แต่นางมั่นใจฝีมือการไขคดีของลิ่นเฉิงโย่วมาก เชื่อว่าขอเพียงคลำแตงตามเถาต่อไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องจับคนผู้นั้นมาลงโทษตามกฎหมายได้แน่
สำนักศึกษาปล่อยให้หยุดเรียนพอดี นางจึงได้เจียดเวลามาพักผ่อนสองสามวัน ตอนที่ข่าวของศาลต้าหลี่ส่งมาถึงนางกำลังเอนกายดื่มสุรากับเสี่ยวหยาอยู่บนตั่ง
พอได้ยินรายงานจากชุนหรง เถิงอวี้อี้ก็รีบวางจอกสุราลงทันที
“อู่ฉี่อยากพบข้า?” นางนึกว่าตนเองหูฝาดไป จึงลูบใบหูตนเองเบาๆ โดยไม่รู้ตัว
“ใช่เจ้าค่ะ” ชุนหรงกับปี้หลัวรายงานอยู่นอกม่าน “นอกจากคุณหนูแล้ว นางยังบอกว่าอยากพบคุณหนูใหญ่สกุลตู้ พอเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่แจ้งข่าวเสร็จก็รีบไปแจ้งข่าวที่จวนสกุลตู้ต่อเลย คุณหนู พวกเราจะไปหรือไม่เจ้าคะ”
เถิงอวี้อี้โบกมือให้เสี่ยวหยาคลานกลับเข้าไปในกระบี่แล้วลุกพรวดขึ้นมา
“แน่นอนว่าต้องไป” นางเอ่ยอย่างหนักแน่น “ช่วยข้าเตรียมเสื้อผ้าเตรียมรถม้าเร็วเข้า”
หลังแวะจวนสกุลตู้รับตู้ถิงหลันแล้ว สองสาวพี่น้องก็มุ่งหน้าไปยังศาลต้าหลี่ด้วยกัน
ตู้เซ่าถังไม่วางใจ ขันอาสาว่าจะบังคับม้าไปเป็นเพื่อนด้วย
ลิ่นเฉิงโย่วมารออยู่หน้าประตูพักใหญ่แล้ว พอเห็นรถม้าสกุลเถิงวิ่งตรงมาก็เดินลงบันไดไปต้อนรับ
เถิงอวี้อี้ลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่วแล้วขยับเข้าไปใกล้ ลิ่นเฉิงโย่วจึงได้กลิ่นสุราจางๆ จากร่างนาง
กลิ่นสุราองุ่นหอมหวาน…
ลมหายใจหอมกรุ่นปานนี้ อย่างน้อยต้องดื่มมาแล้วไหหนึ่ง
ดื่มไปมากอย่างนี้ นางไม่กลัวว่าจะเมาเลยกระมัง
เขามองดวงตาพราวระยับคู่นั้นหลังหมวกม่านแพร เถิงอวี้อี้ก็มองเขาอยู่เช่นกัน
ด้วยข้างหลังเป็นเหยียนว่านชุนกับเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ ลิ่นเฉิงโย่วจึงเพียงปรายตามอง ก่อนวางมาดจริงจังประสานมือคารวะพวกเขาสามพี่น้อง “รบกวนแล้ว อยู่ๆ ผู้ต้องสงสัยบอกว่ามีเบาะแสสำคัญจะสารภาพ จึงจำต้องรบกวนคุณหนูตู้กับคุณหนูเถิงไปด้วยกันแล้ว”
ตู้ถิงหลันจูงมือน้องสาวยอบกายคารวะ “เจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่นมีความชอบในการไขคดี พวกเราย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วมองไปทางตู้เซ่าถังที่อยู่ด้านหลังพวกนางสองคน “ขอให้คุณชายตู้รออยู่ตรงนี้ด้วย”
ตู้เซ่าถังพยักหน้ารับอย่างกังวล
“จะรอช้าไม่ได้ ตามข้าเข้าไปเถอะ” ลิ่นเฉิงโย่วหันหลังเดินขึ้นบันได ยกมือไพล่หลังเดินนำเข้าไปก่อน “ประเดี๋ยวพอไปถึงคุกแล้วข้าจะอยู่ข้างๆ ตลอด…ไม่ต้องกลัว”
เถิงอวี้อี้มองแผ่นหลังของลิ่นเฉิงโย่ว ภายในใจรู้สึกมั่นคงหาใดเปรียบ นางไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย แต่สัมผัสได้ว่าญาติผู้พี่ประหม่าอยู่สักหน่อย ตั้งแต่เมื่อครู่จึงบีบมือนางแน่นขึ้น กลางฝ่ามือยังมีเหงื่อออกต่อเนื่อง โชคดีที่ลิ่นเฉิงโย่วบอกว่าตนเองจะไม่ผละจากไปที่ใด ญาติผู้พี่ถึงได้เบาใจลงไม่น้อย
พวกเขาสามคนกำลังจะเข้าไปข้างใน พลันมีเสียงคนกลุ่มหนึ่งขี่ม้าตรงมาจากสุดถนน ผู้ที่นำหน้ามานั้นสวมชุดคลุมยาวสีม่วงและเกี้ยวสีทองประดับศีรษะ
เป็นองค์รัชทายาทนั่นเอง
องค์รัชทายาทลงจากหลังม้าตรงหน้าประตู มองตู้ถิงหลันแวบหนึ่งก่อน จากนั้นจึงหันไปพยักหน้าให้ทุกคนเล็กน้อย สุดท้ายดึงตัวลิ่นเฉิงโย่วหลบออกไป เอ่ยถามเสียงแผ่วเบาว่า “ผู้ต้องสงสัยต้องการพบคุณหนูตู้ เจ้าก็รับปากนางน่ะหรือ ไม่กลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันหรือไร”
เถิงอวี้อี้เอียงศีรษะสังเกตญาติผู้พี่ เห็นอีกฝ่ายกิริยาสงบนิ่งเยือกเย็น ทว่าใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังหมวกม่านแพรเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อในพริบตา ต่อให้มีผ้าไหมโปร่งบางบดบังไว้ชั้นหนึ่งก็มองเห็นความแตกต่างได้
เมื่อเหลียวมองไปทางตู้เซ่าถังอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าญาติผู้น้องจะเดินเข้าไปสนทนากับองค์รัชทายาทเอง
เถิงอวี้อี้ใคร่ครวญอยู่ในใจ คงไม่ใช่ว่าสองวันนี้องค์รัชทายาทไปหาญาติผู้พี่เป็นการส่วนตัวมาหรอกนะ มิฉะนั้นพวกเขาไม่มีทางคุ้นเคยกันถึงเพียงนี้ได้
น่าเสียดายสองวันมานี้นางมัวแต่กินๆ นอนๆ อยู่ที่บ้านเพื่อฉลองที่คนร้ายถูกจับกุมเสียที ญาติผู้พี่มาหานางสองสามครั้ง นางยังนอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว
ไม่ได้การ ประเดี๋ยวกลับไปต้องซักถามให้ละเอียด