ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 110
“ข้าไม่เคยขโมยถุงหอมของเจ้า” อู่ฉี่ตอบเรียบๆ “ข้ายังตัดสินใจไม่แน่ชัดว่าจะจัดการเจ้าดีหรือไม่ แล้วจะแหวกหญ้าให้งูตื่นได้อย่างไร เจ้าก็ประเมินข้าต่ำเกินไป คืนนั้นที่ข้าไปยังวังเฉิงอ๋องเพียงเพราะอยากหาโอกาสพบหน้าองค์รัชทายาทเท่านั้น”
เถิงอวี้อี้ใคร่ครวญพลางพักหน้าตอบ
“คำตอบของข้าเล่า” อู่ฉี่เงยหน้ามองสบตาเถิงอวี้อี้
คิ้วเรียวงามของเถิงอวี้อี้เลิกขึ้น ก่อนย้อนถามกลับไปว่า “คำตอบก็อยู่ในคำถามข้อเมื่อครู่ของข้าไม่ใช่หรือ”
อู่ฉี่เข้าใจกระจ่างโดยพลัน “หรือเพราะเจ้ากังวลว่าหัวขโมยผู้นั้นจะลงมืออีก นับตั้งแต่นั้นทุกคืนจะต้องทิ้งเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์บางอย่างเอาไว้ในห้อง”
เถิงอวี้อี้ยิ้มเยาะ “ปรากฏว่าจับหัวขโมยตัวเล็กๆ ผู้นั้นไม่ได้ กลับบังเอิญจับหัวขโมยตัวร้ายอย่างพวกเจ้าทั้งกลุ่มได้ นี่เรียกว่าคนชั่วหนีไม่พ้นบ่วงกรรมจริงๆ”
อู่ฉี่ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงไม่หยุด จู่ๆ ก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา แล้วก็ถอยกลับไปอีกอย่างหดหู่ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก “ช่างเถอะ ไม่มีเจ้า เถิงอวี้อี้ ไม่ช้าก็เร็วข้าคงเผยพิรุธออกไปสักเรื่อง ยายเฒ่าหวังซ่อนจุดอ่อนของข้าไว้มากถึงเพียงนั้นก็รู้แล้ว ต่อให้ครั้งนี้ข้าหนีรอดไปได้ วันหน้าก็หนีพันธนาการของพวกเขาไม่พ้นอยู่ดี”
“พอได้แล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วสีหน้าไร้อารมณ์ “ถึงคราวเจ้าตอบคำถามแล้ว”
อู่ฉี่กระตุกมุมปากเล็กน้อย “ข้าจำได้ กฎหมายกำหนดไว้ว่าตราบใดที่ผู้สมรู้ร่วมคิดยอมให้เบาะแสโดยสมัครใจก็สามารถลดหย่อนโทษได้ตามความเหมาะสม”
ลิ่นเฉิงโย่วกล่าว “อย่างนั้นก็ต้องดูว่าเจ้าให้เบาะแสอะไรมาแล้ว”
อู่ฉี่นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากเล่าช้าๆ “ครั้งนั้นที่อารามนักพรตหญิงอวี้เจินมีมารร้ายปรากฏตัวขึ้นมากะทันหัน ข้าก็ตกใจกลัวแทบตาย หลังเก็บตัวอยู่ในบ้านหลายวันก็อดใจไม่ไหวรีบไปที่อารามเพื่อถามซือไท่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ซือไท่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกดูเหมือนอารมณ์ดีเป็นพิเศษ นางดื่มสุราไปมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งยังทำท่าทางลึกลับบอกกับข้าว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าฉางอันจะต้องเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ แต่ภัยพิบัติครั้งนี้เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไรกันแน่นางก็ยังไม่เข้าใจละเอียดนัก ข้าถามนางว่าตกลงเป็นภัยพิบัติเช่นไร นางรู้ตัวว่าเมาสุราจนเสียกิริยาไป เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมพูดต่อแล้ว”
ภัยพิบัติครั้งใหญ่? เถิงอวี้อี้กับลิ่นเฉิงโย่วขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกัน
หากหมายถึงไน่จ้งปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ภัยพิบัติที่ว่าก็เพิ่งเกิดขึ้นไปไม่นานแท้ๆ เหตุใดถึงบอกว่าเป็น ‘ไม่กี่เดือนข้างหน้า’ เล่า ยิ่งกว่านั้นในเมื่อซือไท่รู้ว่าจะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่ เหตุใดถึงไม่รู้ต้นตอของภัยพิบัติแน่ชัด
พอเล่าเรื่องนี้จบอู่ฉี่ก็มีสีหน้าเย็นชา “เบาะแสนี้มีน้ำหนักมากพอหรือไม่”
ลิ่นเฉิงโย่วไม่ออกความเห็นใด หันกลับไปเตรียมพาเถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันออกจากคุก
“ประเดี๋ยวก่อน!” อู่ฉี่รีบร้อนคลานมาอยู่หน้ากรงเหล็ก “ข้ายังพูดไม่จบ…เมื่อครู่ข้าบอกท่านแม่ไปแล้ว คืนนั้นเสี้ยววิญญาณของพี่สาวไม่ได้ถูกโยนลงน้ำ!”
คนทั้งสามชะงักฝีเท้าไปทันใด ลิ่นเฉิงโย่วคล้ายไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง “เสี้ยววิญญาณอยู่ที่ใด”
อู่ฉี่ตอบว่า “ซ่อนอยู่ใต้เตียงนอนของข้าในสำนักศึกษา ยายเฒ่าหวังบอกว่าแถวๆ วัดชิงหลงผู้คนมากหน้าหลายตา หากฮั่วซงหลินหนีไปไม่รอดคงจะถูกจับกุมได้ในที่เกิดเหตุ แล้วหากเสี้ยววิญญาณของพี่สาวในไหสุราถูกคนปลุกให้ตื่นขึ้นมาทันเวลาจะต้องพูดออกมาแน่ว่าคืนนั้นใครเป็นคนวางแผนทำร้ายนาง พอทางฝั่งข้าถูกเปิดโปง แผนการทั้งหมดจะล้มเหลว ดังนั้นในไหสุราจึงใส่เสี้ยววิญญาณของหลี่อิงเอ๋อร์เอาไว้ ส่วนเสี้ยววิญญาณของพี่สาวข้าจะถูกเขาซ่อนไว้ใต้เสาสะพานต้นหนึ่งใกล้กับวัดชิงหลง วันรุ่งขึ้นข้าค่อยไปเอาของกลับมาแล้วเก็บอยู่ในสำนักศึกษามาตลอด วันนี้นับจากเทศกาลอวี้ฝอเป็นวันที่เก้าพอดี หากเร่งทำพิธีโดยเร็วจะต้องช่วยกลับมาได้แน่!”
ฉับพลันนั้นลิ่นเฉิงโย่วมีสีหน้าเคร่งขรึม “ไปเถอะ”
เถิงอวี้อี้รีบร้อนเดินตามฝีเท้าลิ่นเฉิงโย่ว นางหันหน้ากลับไปก็มองเห็นอู่ฉี่ยังกำลูกกรงไว้แน่น เห็นได้ชัดว่าเพราะไม่ได้ยินคำอนุญาตจากลิ่นเฉิงโย่ว ในใจจึงรู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่ง
เถิงอวี้อี้บอกกับลิ่นเฉิงโย่วว่า “รอสักครู่ ข้าพูดกับนางสองประโยคก็จะไปแล้ว” นางเร่งฝีเท้าเดินกลับไปหน้ากรงขัง ก่อนจะกระซิบถามอู่ฉี่ว่า “ถูกขังอยู่ในคุกมาสองวันเต็มก็ไม่เห็นเจ้าจะพูด เหตุใดวันนี้ถึงยอมพูดได้เล่า”
อู่ฉี่คิดไม่ถึงว่าเถิงอวี้อี้จะเดินย้อนกลับมาถาม จึงมองประเมินอีกฝ่ายด้วยสายตาค้นหา “น่าแปลก ดูเหมือนเจ้าจะอยากรู้เรื่องของข้ามากทีเดียว แต่หากบอกเจ้าไป ข้าว่าก็ไม่เห็นเป็นอะไร ความจริงตอนแรกข้าก็ไม่คิดจะทำร้ายพี่สาว เพียงเพราะดื้อดึงอยากเป็นพระชายาองค์รัชทายาทถึงได้ถูกคนชั่วหลอกใช้ ตอนนี้ข้าพ่ายแพ้ยับเยินไปแล้ว ไยต้องทำร้ายพี่สาวตนเองอีกเล่า จะว่าไป…”
เถิงอวี้อี้กล่าวเสริมในใจแทนอู่ฉี่ หากไม่ทำเช่นนี้จะทำให้บิดามารดาใจอ่อนร้องขอความเมตตาเบื้องพระพักตร์แทนเจ้าต่อไปได้อย่างไร
นี่ล่ะคืออู่ฉี่ บางทีตอนแรกนางอาจไม่ได้เลวร้ายปานนี้ แต่สิ่งชั่วร้ายอย่างวิชามาร เมื่อแปดเปื้อนแล้วจะไม่มีทางย้อนกลับได้ แต่เดิมมีความชั่วร้ายเพียงสามส่วน ก็จะเปลี่ยนเป็นสิบส่วน
อยากใช้ข้ออ้างนี้เพื่อพ้นผิด…
“ขอเตือนให้เจ้าล้มเลิกความคิดนี้เถอะ” เถิงอวี้อี้หัวเราะอย่างเย็นชา “เป็นบุตรสาวหัวหน้าผู้ตรวจการแล้วอย่างไร อย่าลืมสิว่าจิ้งเฉินซือไท่ที่ถูกตัดสินโทษประหารไปก่อนหน้านี้ก็มีใจหมายลอบปลงพระชนม์มาเนิ่นนาน ตอนนี้ทั่วทั้งราชสำนักรู้แล้วว่านี่ไม่ใช่คดีฆาตกรรมธรรมดา แต่เกี่ยวพันถึงการวางแผนก่อกบฏ ได้ยินว่าองค์รัชทายาทก็วิงวอนต่อเบื้องพระพักตร์ ทูลขอให้ฝ่าบาททรงตัดสินลงโทษสถานหนัก ทุกคนต่างหลบเลี่ยงกันเป็นแถวๆ เลิกคิดเรื่องปล่อยตัวโดยไร้ความผิดไปได้เลย ไม่เดือดร้อนไปทั้งสกุลอู่ก็ไม่เลวแล้ว ที่สำคัญในใจเจ้าคงรู้ดียิ่งกว่าใคร หากครั้งนี้เจ้าไม่โดนจับ วันหน้าไม่รู้ว่าจะมีคุณหนูบ้านอื่นถูกเจ้าทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมอีกเท่าไร ความผิดมากมายหลายอย่าง นับรวมกันแล้วตัดสินให้เจ้ารับโทษแขวนคอก็ไม่เกินไปเลย รออยู่ในศาลต้าหลี่อย่างสงบเสงี่ยมไปเถอะ ว่ากันว่าอย่างน้อยต้องถูกจำคุกสิบปีขึ้นไป”
อู่ฉี่หน้าเปลี่ยนสีไปในพริบตา ไม่รู้เพราะได้ยินว่าองค์รัชทายาทก็ร้องขอให้ตัดสินลงโทษสถานหนัก หรือได้ยินว่าโอกาสพ้นโทษของตนเองอยู่ห่างไกลออกไป
นางจ้องมองแผ่นหลังเถิงอวี้อี้ที่เดินวางมาดจากไปอย่างแค้นเคือง ร่างกายโน้มไปข้างหน้าแล้วคว้ากรงขังไว้ “เถิงอวี้อี้ เหตุใดเจ้าเกลียดข้าถึงเพียงนี้ ข้าไม่เคยทำร้ายเจ้าเลย!”
ครั้งนี้ฝีเท้าของเถิงอวี้อี้ไม่หยุดลงกลางคันอีกแล้ว
ภายในกรงขังมีเพียงเสียงตะโกนของอู่ฉี่ดังสะท้อนกำแพงหิน นางออกแรงจนข้อนิ้วมือซีดขาว สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงหายใจเหนื่อยหอบของนางเองเท่านั้น
ลิ่นเฉิงโย่วสั่งคนให้แยกไปส่งเถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันกลับจวน ส่วนเขาควบม้าไปยังอารามชิงอวิ๋นเพื่อเชิญอาจารย์ตา
เมื่อเถิงอวี้อี้กลับมาถึงจวน ทางหนึ่งสั่งคนให้คอยจับตาดูข่าวจากสกุลอู่ตลอดเวลา อีกทางหนึ่งก็ลอบครุ่นคิดว่า ‘ภัยพิบัติครั้งใหญ่’ ที่จิ้งเฉินซือไท่เอ่ยถึงคืออะไร