ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 3-4
บทที่ 3
หอจื่ออวิ๋นตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ใกล้กับหอเยวี่ยเติงมากจนมองเห็นกันได้ถนัด
หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้มา ก็ไม่มีผู้ใดกล้าใช้เส้นทางลัดอีก พวกเขาอ้อมป่าไผ่เข้าสู่เส้นทางสายหลัก จากนั้นก็วิ่งห้อตะบึงอยู่พักใหญ่กว่าจะมาถึงริมแม่น้ำ
เมื่ออาศัยแสงสว่างจากนอกหน้าต่างรถม้า เถิงอวี้อี้เพ่งพินิจบาดแผลกลางฝ่ามือของญาติผู้พี่อย่างละเอียด คราบเลือดยังไม่ทันแห้งสนิท เป็นรอยบาดเล็กๆ และเข้าเนื้อลึกพอดู เดิมทีนึกว่าบาดเจ็บเพราะปีศาจตนนั้น ทว่ายิ่งมองยิ่งเหมือนบาดแผลโดนกรรไกรเย็บปักแทงมากกว่า
“ท่านป้า ดูนี่สิเจ้าคะ”
ตู้ฮูหยินพลิกมือตู้ถิงหลันตรวจดูบาดแผล ก่อนกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ตอนเช้าออกจากบ้านมายังดีๆ อยู่เลย จะต้องเป็นฝีมือเจ้าปีศาจตนนั้นแน่”
เถิงอวี้อี้มีข้อสงสัยผุดขึ้นในใจมากมาย กรงเล็บคมกริบของเจ้าปีศาจนั้นคล้ายพัดขนาดใหญ่ หากตั้งใจโฉบคว้าไว้จริงมือของญาติผู้พี่คงเป็นแผลเหวอะหวะไปนานแล้ว จะเหลือแค่รอยแผลเล็กแห่งเดียวได้อย่างไร
“ท่านป้า ก่อนหน้านี้พี่สาวเคยบอกท่านว่านางจะออกนอกอารามหรือไม่เจ้าคะ”
ตู้ฮูหยินกล่าวทั้งน้ำตา “เคยบอกอะไรกับข้าที่ใดกัน ข้าไปดูการแสดงกายกรรมข้างหน้า พี่สาวเจ้าไม่อยากดูด้วย บอกว่าจะไปพักผ่อนที่ห้องโถงอวิ๋นฮุ่ยสักหน่อย ข้าคิดว่าดูการแสดงจบแล้วจะกลับเข้าเมือง ก็เลยไม่ได้ฝืนใจนาง ใครจะรู้ว่าเด็กผู้นี้พอคลาดสายตาก็ออกนอกอาราม มิหนำซ้ำยังเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้อีก”
นางตื่นตระหนกไปชั่วครู่ ก่อนจะคว้ามือเถิงอวี้อี้ไว้แล้วลดเสียงลงเอ่ยถาม “เด็กดี เจ้ากับพี่สาวเขียนจดหมายหากันตลอด เคยได้ยินพี่สาวพูดถึงคุณชายน้อยคนใดในจดหมายบ้างหรือไม่”
คำถามข้อนี้เถิงอวี้อี้เคยครุ่นคิดมาแล้วเป็นร้อยเป็นพันรอบ แต่ตอนเกิดเรื่องนางไม่ได้พบหน้าญาติผู้พี่มานานกว่าครึ่งปี พวกนางสองคนอยู่ห่างไกลกันคนละที่ ญาติผู้พี่ยังมีนิสัยระมัดระวังรอบคอบ จะระบายเรื่องในใจให้นางฟังต่อหน้าเท่านั้น ไม่มีทางเขียนลงในจดหมายโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเด็ดขาด
“พี่สาวชอบส่งของแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้ข้าเป็นประจำ แต่ในจดหมายไม่เคยพูดถึงเรื่องอื่นเลย กลับต้องถามท่านป้ามากกว่า หลายวันมานี้เวลาอยู่ในจวนพี่สาวมีท่าทีผิดแปลกตรงที่ใดหรือไม่เจ้าคะ”
ตู้ฮูหยินยังมิคลายความหวาดกลัว นางคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่นานสองนาน “ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้จักพี่สาวผู้นี้ นางเป็นคนสุขุมหนักแน่นมาแต่ไหนแต่ไร คิดทำทุกอย่างรอบคอบรัดกุม ต่อให้เจอเรื่องไม่สบายใจอะไรก็ไม่เคยแสดงออกทางสีหน้าชัดๆ เลย ระยะนี้ข้าเห็นนางดูเศร้าซึมไปบ้างเลยเอาใจใส่กิจวัตรนางแต่ละวันมากขึ้น แต่แปลกใจที่ไม่พบเจออะไรผิดปกติ ไม่กี่วันก่อนพอได้ยินว่าเจ้าจะมาฉางอันพี่สาวก็ย้ายที่นอนกับผ้าห่มของเจ้าไปไว้ที่ห้องของนาง รวมทั้งอาหารที่เจ้าเคยพูดถึงกับนาง เตรียมทุกอย่างรอเจ้าล่วงหน้า ข้าเห็นนางร่าเริงไม่เหมือนมีเรื่องในใจก็เลยปล่อยไปน่ะสิ”
ตู้ฮูหยินทุบหน้าอกด้วยความเสียใจ “ข้าก็เลอะเลือนนัก ในอารามผู้คนมากหน้าหลายตา ปล่อยให้นางอยู่ที่สวนด้านหลังเพียงผู้เดียวได้อย่างไรกัน ถ้าเกิดช่วยนางไว้ไม่ได้ข้าก็ไม่อยากอยู่แล้ว”
เถิงอวี้อี้จับหัวไหล่ตู้ฮูหยินเอาไว้ “พวกเราเชิญนักพรตชิงซวีจื่อมาแล้ว ยังกลัวว่าจะช่วยพี่สาวไม่ได้อีกหรือเจ้าคะ ตอนนี้พี่สาวรอรับการรักษาอย่างเร่งด่วน เรื่องทั้งหมดต้องอาศัยท่านป้าตัดสินใจ ถ้าหากท่านไม่ควบคุมสติให้อยู่จะรับมือเรื่องต่อจากนี้ได้เช่นไร”
ตู้ฮูหยินตกตะลึงไปชั่วขณะ นางเช็ดน้ำตาแล้วพยักหน้า “เด็กดี เจ้าเสียอีกที่เข้าใจเรื่องราว นี่ป้าร้อนใจจนหน้ามืดตามัวไปแล้ว”
พอกล่าวจบนางก็ฝืนทำจิตใจสงบเยือกเย็น เลิกผ้าม่านสั่งกำชับบ่าวไพร่ของตน “ส่งคนกลับเข้าเมืองไปแจ้งข่าวให้นายท่านกับคุณชายใหญ่ทราบเร็วเข้า ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี!”
เถิงอวี้อี้คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าไผ่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เผอิญว่ารถม้าวิ่งผ่านหอเยวี่ยเติงพอดี นางหันหน้ามองออกไปด้านนอกไปโดยไม่รู้ตัว
ในหอสูงแห่งนั้นจุดโคมไฟสว่างเรืองรอง งานเลี้ยงของเหล่าบัณฑิตจิ้นซื่อคงเริ่มขึ้นแล้ว
แขกเหรื่อล้วนเข้าไปในงานกันหมด ประตูปิดสนิทแน่นหนา เลิกคิดมองหาช่องโหว่จากด้านนอกไปได้เลย นางจ้องมองอย่างจริงจังอยู่นาน จะสงสัยสักเพียงใดก็ได้แต่ปล่อยผ่านไป
เมื่อมาถึงหน้าหอจื่ออวิ๋น ขันทีอาวุโสแลดูอายุมากพอสมควรก็เดินออกมาต้อนรับ
“ตอนแรกท่านนักพรตดื่มสุราอยู่ด้านใน พอได้ยินว่าการแข่งจีจวีที่หอเยวี่ยเติงเริ่มขึ้นแล้วก็หายลับไปไม่เห็นเงาทันที จวิ้นอ๋องกลัวว่าจะเสียเวลาจึงสั่งให้ข้าน้อยรออยู่ที่นี่ ท่านจะไปตามท่านนักพรตเอง”
ตู้ฮูหยินไม่มีเวลาจะขบคิดว่าเหตุใดนักพรตเฒ่าในวัยเกือบเจ็ดสิบปีถึงสนใจการแข่งจีจวีขึ้นมาได้ นางรีบลงจากรถม้าพร้อมเอ่ยว่า “ทุกอย่างคงต้องรบกวนจวิ้นอ๋องแล้ว”
ขันทีอาวุโสสั่งคนยกเกี้ยวเล็กๆ หลายหลังออกมา “จวิ้นอ๋องระลึกถึงบุญคุณที่ท่านแม่ทัพเถิงช่วยชีวิตในปีนั้นเสมอ คืนนี้บังเอิญมาพบกันเข้า การตอบแทนบุญคุณเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ ยิ่งไปกว่านั้นพวกท่านหลายคนต่างตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต ต่อให้ไม่นับรวมน้ำใจไมตรีในปีนั้นจวิ้นอ๋องก็ไม่มีทางนิ่งดูดายอยู่แล้ว”
ทันใดนั้นเองสายลมยามค่ำคืนโชยพัดม่านเกี้ยวม้วนตลบขึ้นไป ตู้ถิงหลันสำลักอากาศ สีเทาเหลือบทองชวนขนลุกแผ่ขยายทั่วใบหน้า ปีกจมูกขยับเล็กน้อย ก่อนอาเจียนเลือดสีดำออกมาคำโต
สภาพการณ์ตรงหน้าแปลกประหลาดเกินบรรยาย เถิงอวี้อี้กับตู้ฮูหยินหวาดผวาจับใจ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับคราบเลือดไปพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ดูท่าคงจะโดนลมเย็นไม่ได้ รบกวนกงกงรีบพาพวกเราเข้าไปด้านในด้วย”
ขันทีอาวุโสทราบแต่เพียงว่าพวกนางปะทะกับสิ่งชั่วร้ายมา ไม่คาดคิดว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนถึงเพียงนี้ เขารีบกล่าวว่า “ตามข้าน้อยมาโดยไว คุณหนูรองบุตรสาวใต้เท้าต่งนายอำเภอวั่นเหนียนก็เพิ่งตกใจเสียขวัญมา เดิมทีจะรีบกลับเข้าเมืองไปรักษา พอรู้ว่าจวิ้นอ๋องเชิญท่านนักพรตมาได้จึงฝากคนที่นี่ดูแลชั่วคราว ยามนี้ส่งนางเข้าไปในหอจื่ออวิ๋นแล้วเช่นกัน”
ตู้ฮูหยินพยักหน้ารับรู้ ยามฮ่องเต้เสด็จมาร่วมงานเลี้ยงดื่มสุรา ปกติจะมีรับสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ขั้นสามขึ้นไปเท่านั้นร่วมตามเสด็จ หากไม่มีผู้มีฐานะสูงส่งคนใดเชื้อเชิญ ขุนนางทั่วไปไม่อาจย่างเท้าเข้าหอจื่ออวิ๋นได้