ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 3-4
ในชาติก่อนแม้เถิงอวี้อี้จะอยู่ในเมืองฉางอันไม่นานนัก ทว่าเคยพบหน้าสตรีจากครอบครัวชนชั้นสูงและขุนนางผู้ใหญ่มาไม่น้อย จึงจดจำได้อย่างเลือนรางว่าหลังภรรยาคนแรกของอันกั๋วกงจากโลกนี้ไป เขาก็แต่งน้องสาวผู้ครองตัวเป็นม่ายของนางจากสกุลหลี่แห่งจ้าวจวิ้นเป็นภรรยาใหม่
ใบหน้าสตรีจากสกุลหลี่ผู้นี้งามเด่นสมเป็นโฉมสะคราญ ทั้งยังเชี่ยวชาญการดนตรีมาแต่ครั้งเยาว์วัย ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหลี่รักทะนุถนอมบุตรสาวผู้นี้ดุจไข่มุกบนฝ่ามือ เฝ้าสดับฟังนางลูบพรมฉินทุกวันไม่ขาด
ครั้งยังเป็นเพียงคุณหนูสกุลหลี่ ก็เป็นบุตรสาวที่มีใจกตัญญู ปรนนิบัติดูแลข้างกายมารดาด้วยดีจนถึงอายุยี่สิบกว่าปีจึงแต่งออกไป เดิมทีถือเป็นวาสนาครองคู่ที่หาได้ยากยิ่ง ไหนเลยจะคาดคิดว่าอยู่กินกันไม่ถึงสามปีสามีของนางก็ตกจากหลังม้าสิ้นใจไปก่อน
คุณหนูสกุลหลี่เดินทางไกลมาเยือนเมืองฉางอันด้วยจิตใจหดหู่ อันกั๋วกงบังเอิญพบหน้านางเข้า เพียงแรกเห็นก็ตกตะลึงคิดว่าเป็นเทพธิดาจากสวรรค์ วันต่อมาก็เชิญแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอถึงบ้าน
ในความทรงจำของเถิงอวี้อี้ ฮูหยินคนใหม่ของอันกั๋วกงสุขภาพร่างกายอ่อนแอ ไม่ชมชอบการคบค้าสมาคมกับผู้ใด ฉะนั้นชาติก่อนนางจึงไม่เคยพบเจอ มาค่ำคืนนี้เห็นด้วยตนเองแล้วถึงได้รู้ว่าคุณหนูสกุลหลี่ที่เล่าลือกันงดงามสะกดสายตาเช่นนี้นี่เอง
มีใครบางคนอธิบายเรื่องเมื่อครู่นี้แล้ว ฮูหยินอันกั๋วกงเลิกคิ้วเรียวสวยขึ้นเล็กน้อย
“คืนนี้เรือนที่พักแต่ละแห่งล้วนมีคนจับจองหมดแล้ว เหลือเพียงศาลาหลั่นสยาที่ยังว่างอยู่ ไม่ให้พวกเราพักที่นี่รอสร่างเมา แล้วยังเหลือที่ใดให้ไปได้อีกหรือ ก่อนหน้านี้พวกนางบังคับข้าดื่มไปพอสมควร ข้ารู้สึกใจสั่นอยู่ตลอด ถ้าหากไม่ได้พักผ่อนเกรงว่าคงได้ล้มป่วยน่ะสิ”
เวินกงกงมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา คืนนี้ลมกระโชกแรงมากทีเดียว ม่านพลิ้วไหวของเกี้ยวหลังเล็กไม่อาจกันลมได้อยู่แล้ว เมื่อครู่เขาก็เพิ่งได้รับบทเรียนมา คุณหนูสกุลตู้โดนลมเข้าหน่อยก็หน้าเปลี่ยนสีได้น่ากลัวปานนั้น หากบ่าวชายผู้นี้นอนอยู่ตรงช่องลมเกรงว่าต้องตายในไม่ช้านี้แน่
ตู้ฮูหยินมองสำรวจอาการตู้ถิงหลันในเกี้ยวหลังเล็ก ลมหายใจรวยรินเต็มที มือเท้าเย็นเฉียบปานน้ำแข็ง ไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไปแล้ว จะต้องยกเกี้ยวพานางเข้าไปพักในห้องประเดี๋ยวนี้เลย ทว่าพอเห็นท่าทางของฮูหยินอันกั๋วกงดูท่าจะไม่ยอมปล่อยให้เข้าเรือนแห่งนี้โดยง่าย
“ยังมัวรออะไรอยู่ รีบโยนเขาออกไปได้แล้ว คงไม่ตายง่ายๆ หรอก เป็นแค่บ่าวไพร่ทำงานหยาบๆ กลับมีฐานะสูงส่งกว่าเจ้านายเสียอีกนะ” ดูเหมือนฮูหยินอันกั๋วกงจะเมามายไม่เบา หลังกล่าวจบแล้วก็ยกมือยันหน้าผาก เดินโงนเงนกลับเข้าไปในเรือน
ตู้ฮูหยินร้อนใจแทบทนไม่ไหว ขณะครุ่นคิดถ้อยคำเตรียมเอ่ยปากเถิงอวี้อี้กลับชิงออกหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง นางยิ้มบางๆ แล้วอธิบาย
“ฮูหยินอันกั๋วกงอาจไม่ทราบเรื่อง เวินกงกงนำร่างผู้บาดเจ็บมาไว้เรือนที่พักเดียวกันนั้นมีเหตุผลอยู่ ข้อแรกท่านนักพรตมาถึงแล้วจะได้ทำพิธีสะดวก ข้อสองก็เพื่อเร่งสืบหาเบื้องหลังของปีศาจที่ออกอาละวาดโดยเร็วที่สุด ปีศาจตนนี้ปรากฏตัวได้น่าพิศวง ดุร้ายอันตรายเป็นอย่างยิ่ง หากไม่เร่งมือปราบมันให้ราบคาบ เหยื่อรับเคราะห์รายต่อไปไม่รู้ว่าจะเป็นคุณหนูเรือนใดกัน”
คุณหนูทั้งหลายตกใจหน้าเปลี่ยนสี ฮูหยินอันกั๋วกงหยุดชะงักฝีเท้า หันกลับมามองสำรวจเถิงอวี้อี้
เถิงอวี้อี้กล่าวเสริม “ตอนเกิดเรื่องทุกท่านไม่ได้อยู่ในป่าไผ่ ไม่รู้ว่าปีศาจตนนั้นโหดเหี้ยมเพียงใด กรงเล็บของมันใหญ่โตถึงเพียงนี้ โฉบลงมาครั้งเดียวก็คร่าชีวิตคนได้แล้ว ยามกระโจนเข้าใส่เหยื่อยังทำได้เงียบกริบไม่มีเสียงสักนิดเลยด้วย”
ทุกคนในลานกว้างหันมาสบตากัน ความหวาดกลัวในแววตายิ่งฉายชัดกว่าเดิม
เถิงอวี้อี้กล่าวสำทับ “ปีศาจเช่นนี้หากไม่เร่งรีบกำจัด ฉางอันคงไม่มีวันสงบสุข วันหน้ายามคุณหนูทั้งหลายออกจากบ้านอาจเผชิญหน้ากับมันได้ตลอดเวลา ตอนนี้หวังเพียงว่าท่านนักพรตจะจับปีศาจนั้นได้สำเร็จ แต่ว่าถึงท่านนักพรตจะมีฝีมือล้ำเลิศปานใด ก็ยังต้องช่วยชีวิตบ่าวผู้นี้ก่อน เหตุผลน่ะหรือ…”
ฮูหยินอันกั๋วกงถูกดึงดูดความสนใจเข้าจนได้ “ขออภัยที่ข้ามีตาแต่ไร้แวว มองไม่ออกจริงๆ ว่าบ่าวผู้นี้มีความสามารถอะไร เจ้าลองว่ามาสิ เพราะเหตุใดท่านนักพรตถึงต้องช่วยชีวิตเขาก่อนด้วย”
เถิงอวี้อี้ยิ้มจนตาหยีแล้วเอ่ยตอบ “ท่านนักพรตไม่เคยพบปีศาจตนนี้ ถ้าหากตอนประมือกันไม่อาจล่วงรู้ถึงเบื้องหลังมันอย่างกระจ่างชัด ก็เป็นไปได้สูงว่าปีศาจจะฉวยโอกาสหลบหนีไปได้ แต่สำหรับบ่าวผู้นี้นั้นไม่เหมือนกัน นอกจากเขาจะมองเห็นรูปร่างหน้าตาปีศาจชัดเจน ยังรู้ดีด้วยว่ามันออกกระบวนท่าโจมตีเช่นไร นี่ล่ะสมกับคำกล่าวว่ารู้เขารู้เรา หากคิดจับปีศาจ จะปล่อยให้บ่าวผู้นี้เป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่ใช่แค่สูญเสียไม่ได้ ยังต้องหาวิธีทำให้เขาฟื้นขึ้นมาโดยเร็วด้วย”
บรรยากาศเคร่งเครียดของเหล่าสตรีสูงศักดิ์เริ่มคลี่คลาย ฮูหยินอันกั๋วกงสีหน้าแปรเปลี่ยนจนมิอาจคาดเดา เท่าที่สังเกตเห็นไม่มีเจตนาจะขัดขวางอีกแล้ว
“ลืมบอกไปอีกอย่าง” เถิงอวี้อี้กล่าวเสริมพร้อมปั้นหน้าเคร่งขรึม “หากไม่ได้บ่าวผู้นี้เสียสละตัวเข้าขวางพักใหญ่ ปีศาจตนนั้นอาจจะบุกมาก่อความวุ่นวายถึงหอจื่ออวิ๋น ทำลายงานเลี้ยงพังเป็นเรื่องเล็ก ทำร้ายคนบาดเจ็บสิเรื่องใหญ่”
คุณหนูในที่นี้ต่างหลั่งเหงื่อเย็นท่วมแผ่นหลังอยู่นานแล้ว ได้ยินประโยคนี้ก็เกือบหลุดอุทานออกมาเบาๆ