ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 3-4
“ฮูหยิน จู่ๆ ข้าก็รู้สึกปวดหัวคลื่นไส้ คิดว่าคงแปดเปื้อนพลังชั่วร้ายจากปีศาจนั่นมาด้วย ไม่รู้ว่ากินยานี้แล้วจะได้ผลหรือไม่”
“แน่นอนว่าย่อมได้ผล”
ตู้ฮูหยินเพิ่งเรียกสติกลับคืนมาได้ นางรีบเดินปรี่เข้ามาสังเกตสีหน้าเถิงอวี้อี้ “อวี้เอ๋อร์?”
เถิงอวี้อี้ปลอบโยนนาง “ท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้ากินยาเดี๋ยวก็หายแล้ว”
นางพยายามบิดเปิดขวดยา ก่อนจะกล่าวอย่างหมดหนทาง “ข้าเปิดขวดใบนี้ไม่ได้ ฮูหยินโปรดช่วยข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เรื่องแค่นี้มีอะไรยากกัน ส่งขวดมาให้ข้าก็จบแล้ว”
เถิงอวี้อี้ทำทีชี้แขนขวาที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อมาตลอดของฮูหยินอันกั๋วกง “ฮูหยิน ตั้งแต่เข้าเขตเรือนมาก็ไม่เห็นท่านยกมือข้างนี้ขึ้นมาเลย หรือว่าจะได้รับบาดเจ็บ”
ฮูหยินอันกั๋วกงพลันโกรธจัดจนหน้าเปลี่ยนสี
เถิงอวี้อี้ขันอาสาด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง “ข้ากับท่านพ่อเคยเรียนวิธีนวดคลายเส้นจากชาวหูมาบ้าง หากฮูหยินไม่รังเกียจ ข้าช่วยดูอาการให้ท่านได้นะเจ้าคะ” พอกล่าวจบก็เตรียมก้าวออกไป
ใบหน้าตึงเครียดของฮูหยินอันกั๋วกงคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่ต้องรบกวนคุณหนูเถิงหรอก แขนคงเคล็ดตอนร่วมการละเล่นวงสุราในงานเลี้ยง ก็เลยออกแรงไม่ค่อยได้ เป็นเช่นนี้ประจำอยู่แล้ว นอนพักสักครู่คงหาย”
เถิงอวี้อี้จ้องมองฮูหยินอันกั๋วกงอย่างเงียบงันก่อนเอ่ยว่า “ฮูหยินฝีมือบรรเลงฉินเป็นเลิศร่ำลือไปถึงลั่วหยาง ไม่ว่าขลุ่ยปี้ลี่ หรือพิณคงโหวล้วนเก่งกาจ คิดว่าจะต้องรักถนอมมือคู่นี้ยิ่งกว่าคนทั่วไป เหตุใดบาดเจ็บแล้วไม่ตามหมอมาตรวจอาการเล่าเจ้าคะ”
ตู้ฮูหยินตะลึงงันไปทันใด ส่วนคนอื่นๆ ต่างเผยสีหน้าสับสนเช่นกัน
ฮูหยินอันกั๋วกงเอียงศีรษะมองแขนขวาของตนเอง ริมฝีปากแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม “เจ้าว่าเป็นเพราะอะไรเล่า”
เถิงอวี้อี้กัดฟันถามต่อไป “เพราะข้าไม่เข้าใจนี่ล่ะเจ้าค่ะ ถึงต้องขอคำชี้แนะจากฮูหยิน”
ฮูหยินอันกั๋วกงกวักมือซ้ายเรียกนาง “มานี่สิ ข้าจะบอกเจ้าเองว่าเพราะเหตุใด”
เถิงอวี้อี้ชำเลืองมองไปทางประตูเรือน รู้สึกขนลุกชันเมื่อตระหนักได้ว่าอยู่ดีๆ เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วจากระเบียงทางเดินและศาลากลางน้ำข้างนอกอันตรธานหายไปแล้ว
บริเวณหน้าประตูเงียบสงัดราวหลุมศพรกร้าง สายลมไม่อาจพัดผ่านเข้ามาได้ เสียงจากข้างในก็ไม่อาจเล็ดลอดออกไปได้เช่นกัน
นางเหงื่อแตกพลั่กราวกับตากฝน นอกจากจะไม่ก้าวออกไปข้างหน้าแล้ว ยังแอบลูบคลำกระบี่หยกในแขนเสื้อเล่มนั้น
ฮูหยินอันกั๋วกงสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของเถิงอวี้อี้ จึงดึงร่างคุณหนูสูงศักดิ์ข้างกายผู้หนึ่งเอาไว้ ส่งยิ้มหวานหยดพลางสั่งว่า “ไปสิ เอาของที่อยู่ในแขนเสื้อนางมาให้ข้า”
ตอนแรกเด็กสาวยังสับสนงุนงง ทว่าต่อมากลับทำเหมือนคนนอนละเมอ พอนิ่งงันไปชั่วขณะก็เดินเข้าไปหาเถิงอวี้อี้ด้วยสีหน้าเลื่อนลอย การเคลื่อนไหวก็แข็งทื่อไปหมด ราวกับมีคนบังคับควบคุมอยู่เบื้องหลัง
เถิงอวี้อี้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ รีบร้อนจะชักกระบี่ออกมา ไม่คาดคิดว่าไหล่ทั้งสองข้างจู่ๆ จะโดนพลังประหลาดน้ำหนักมหาศาลกดทับไว้ ตรึงร่างกายนางให้หยุดอยู่กับที่ หลังจากนั้นไม่ว่านางจะออกแรงสักเพียงใดฝักกระบี่ก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย
นางฝืนปั้นรอยยิ้มออกมา “ฮูหยิน นี่ท่านจะทำอะไรกัน”
ฮูหยินอันกั๋วกงจัดรอยยับบนผ้าคลุมไหล่ปักลายสีเทาดุจควันตรงข้อพับแขนพลางเอ่ยถามด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายใจ “คุณหนูเถิง ประโยคนี้ข้าควรเป็นฝ่ายถามมากกว่า ในแขนเสื้อเจ้าซุกซ่อนอะไรไว้”
เถิงอวี้อี้มองสำรวจไปทั่วบริเวณ เวินกงกงกับท่านป้าอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ทว่าสายตาของพวกเขาล้วนว่างเปล่าและไร้สติสัมปชัญญะ นางหัวเราะเย้ยหยัน “ปีศาจในป่าไล่ตามมาแล้ว ข้าอยากจะตัดกรงเล็บซ้ายของมันออกมาอีกข้างด้วย”
ฮูหยินอันกั๋วกงราวกับโดนคนตบหน้าฉาดใหญ่ แววตาอันดุร้ายมีไฟลุกโชนอย่างรวดเร็ว
ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งอยู่ห่างออกไปจึงมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ชัดเจน ได้แต่ร้อนใจว่ารออยู่นานปานนี้แล้วยังไม่ได้ยาช่วยชีวิตมาเสียที ฮูหยินอันกั๋วกงมีน้ำใจมอบยาให้ คุณหนูเถิงกลับขัดขวางไว้อย่างไร้เหตุผล
นางกระทืบเท้าอย่างขัดใจ “คุณหนูเถิง ฮูหยินอันกั๋วกงหวังดีถึงเพียงนี้ ท่านไม่รับน้ำใจก็ช่างเถอะ ไยต้องพูดจาเสียมารยาทเช่นนั้นด้วย”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงคนผู้หนึ่งหัวเราะเยาะพลางเอ่ยว่า “เพราะว่านางไม่โง่งมน่ะสิ”
สุ้มเสียงนั้นยังไม่ทันจางหาย ก็มีบางสิ่งถูกยิงลอยมาบนท้องฟ้าเหนือเรือนที่พัก มันรวดเร็วดุจประกายไฟและคล้ายคลึงกับลูกธนู ทะลวงผ่านสีสันอันมืดมิดยามค่ำคืน พุ่งเข้าใส่หน้าผากฮูหยินอันกั๋วกงอย่างแรง
คราแรกฮูหยินอันกั๋วกงสะดุ้งตกใจ แต่แล้วบนใบหน้าพลันฉายแววดูแคลน รอจนกระทั่งสิ่งนั้นเข้าประชิดตัว นางก็หัวเราะเสียงยั่วยวนก่อนสะบัดผ้าคลุมไหล่ปัดสิ่งนั้นร่วงหล่นโดยไม่เปลืองแรงแม้เพียงนิด
เถิงอวี้อี้รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง คนผู้นั้นเปิดตัวเสียองอาจ ใครจะคิดว่าพลังอ่อนแอเช่นนี้ เดิมทีนึกว่านักพรตชิงซวีจื่อมาถึงแล้ว ดูท่าคงจะเป็นผู้อื่นเสียมากกว่า
นางแอบมองปราดไปด้านข้าง เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงกำแพงเรือนใต้แสงจันทร์สุกสกาว กิริยาเรื่อยเฉื่อยไม่สะทกสะท้าน ดูไม่คล้ายคนที่เพิ่งเจออุปสรรคเลยจริงๆ
ฮูหยินอันกั๋วกงยกแขนเสื้อปิดบังรอยยิ้ม “ข้าก็คิดว่าอาวุธวิเศษร้ายกาจอะไร ที่แท้ก็ลูกจีจวี ได้ยินท่านกั๋วกงพูดถึงบ่อยๆ ว่าซื่อจื่อชอบเล่นเป็นพิเศษ ส่งสิ่งนี้มาให้เพราะอยากจะเล่นเป็นเพื่อนข้าหรือ”
เด็กหนุ่มผู้นั้นเดินเหยียบแสงจันทร์ตรงมา ริมฝีปากแย้มยิ้มถามกลับ “เจ้าคู่ควรรึ”
ดวงตาฮูหยินอันกั๋วกงเป็นประกายฉ่ำวาว “ซื่อจื่อมาโดยไม่ได้รับเชิญ นับว่ามีความกล้าเกินคนธรรมดา น่าเสียดายฝีมือย่ำแย่ โยนมาครั้งเดียวก็ตกอยู่ในเงื้อมมือข้าแล้ว จะคู่ควรไม่คู่ควร มิใช่ข้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์พูดหรือ”
เด็กหนุ่มหัวเราะเยาะเย้ยคำพูดของนาง
ฮูหยินอันกั๋วกงหลุบตาลงกวาดมองปลายเท้า ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปทันที นางมองเห็นลูกจีจวีที่ไม่สะดุดตาพลันแตกออกเป็นสองส่วน ชั่วอึดใจเดียวก็มีหนอนสีดำแดงตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากข้างใน
เจ้าหนอนพุ่งเข้าหารองเท้าหัวเชิดสีสดสวยดั่งเมฆต้องแสงอาทิตย์ของนาง มันบิดตัวไปมาเล็กน้อยแล้วคลานต้วมเตี้ยมวนรอบเท้า
ฮูหยินอันกั๋วกงมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ กระบวนท่านี้นางไม่ทันระวังป้องกัน หากโจมตีจากกลางอากาศนางคงกระโดดออกนอกเรือนได้สบายๆ ไปแล้ว ไม่คาดคิดว่าคนผู้นี้จะร้ายกาจเหลือเชื่อ ใช้อาคมพรางตาล่อลวงนางก่อน
จะหนีตอนนี้คงไม่ทันกาล นางขยับถอยหลังแล้วกระโดดหลบอย่างชิงชัง
ทว่าจนใจที่เจ้าหนอนตัวนั้นราวกับมีสติปัญญา นางกระโดดขึ้นไปหนึ่งชุ่น หนอนก็ไต่ตามขึ้นมาหนึ่งชุ่น พอถอยหลังไปหนึ่งชุ่น หนอนก็โน้มตัวมาข้างหน้าหนึ่งชุ่น ค่อยๆ ยืดตัวยาวและขยายใหญ่ขึ้นทุกที ก่อนจะกลายเป็นโซ่เหล็กเส้นหนึ่งมัดนางไว้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“สนุกหรือไม่เล่า” เด็กหนุ่มมีน้ำเสียงไพเราะเสนาะหู แต่เสียงหัวเราะสะท้อนความเย้ยหยันเต็มเปี่ยม