เถิงอวี้อี้รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก นางโตมาจนป่านนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีพระชายาอ๋องลงโทษบุตรชายด้วยตนเอง เดิมทีอยากเพ่งมองพระชายาเฉิงอ๋องที่นั่งอยู่ด้านบนอย่างละเอียดต่อ แต่ฮองเฮาก็สั่งคนพาพวกนางไปชมดอกเบญจมาศเดือนสารทในสวน
ขณะเดินผ่านศาลาเตี๋ยชุ่ย เถิงอวี้อี้มองปราดครู่หนึ่งเห็นว่ามีคุณชายน้อยสวมเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหราเลอค่านั่งขัดสมาธิอยู่ในศาลาหลังนั้นหลายคน สายลมโชยแผ่วพัดม่านไม้ไผ่ขยับไหว ดึงดูดให้สายตาหลายสิบคู่มองตาม
เถิงอวี้อี้เดินเยื้องย่างโดยไม่ว่อกแว่กเหลียวมอง ยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง หยาดละอองฝนพร่างพรมลงมาอย่างเงียบงัน บนใบหน้าปกคลุมด้วยไอเย็นคล้ายขนฟูปุกปุย พอกลับถึงจวนสกุลเถิงในคืนนั้นนางย้อนคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ตอนฮองเฮากับพระชายาเฉิงอ๋องเรียกนางไปพูดคุยถามไถ่ ในใจก็ปรากฏแผนการเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
นางมิได้มีใจชื่นชมเฉิงอ๋องซื่อจื่อผู้นี้เลยสักนิด เพียงแต่เวลาคุณหนูบุตรสาวขุนนางใหญ่ทั้งหลายแอบหยอกเย้าแฝงความนัยกันมักจะเอ่ยถึงเฉิงอ๋องซื่อจื่อบ่อยครั้ง นางจิบน้ำชาไปพลางเงี่ยหูฟังไปพลาง ในเมื่อพวกนางล้วนหลงใหลได้ปลื้มคนผู้นี้ คิดว่าคงต้องมีสิ่งใดเหนือกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง
บุตรหลานเชื้อพระวงศ์ที่จะคัดเลือกพระชายามีมากมายถึงเพียงนั้น เถิงอวี้อี้ไม่อาจโอนอ่อนคล้อยตาม ถ้าหากนางจะเลือกก็ต้องเลือกผู้ที่เพียบพร้อมกว่าใคร
นางสงบจิตใจลงแล้วปลดปิ่นถอดต่างหู วันต่อมาลองให้คนสืบข่าวดู ฮองเฮากับพระชายาเฉิงอ๋องนำภาพเหมือนของนางไปสอบถามความเห็น ลิ่นเฉิงโย่วตอบกลับมาสองคำโดยไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อยว่า ‘ไม่แต่ง’
ตอนนั้นเถิงอวี้อี้กำลังพับแขนเสื้อขึ้น ปรุงเครื่องหอมด้วยน้ำผึ้งขาวอยู่ กลับไม่ทันระวังทำถ้วยเครื่องหอมพลิกคว่ำ
‘ไม่แต่ง?’ นางยังไม่แน่ใจเลยว่าจะตอบตกลง ต้องเป็นเพราะการจากไปของญาติผู้พี่กับอาการป่วยของท่านป้าก่อกวนจนจิตใจนางปั่นป่วนยุ่งเหยิง นางถึงได้หน้ามืดยอมไปร่วมการคัดเลือกคู่ครองของบุตรหลานเชื้อพระวงศ์
ความจริงสองวันมานี้นางคิดได้นานแล้ว นางกับเขาไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน นิสัยใจคอแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยได้ยินมาก็เป็นแค่ภาพลักษณ์คนผู้นั้นในสายตาคนนอก สุดท้ายแล้วตัวตนของเขาเป็นเช่นไร ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะรู้ ถ้าหากมิใช่คนที่ใช้ชีวิตร่วมกันด้วยดีได้คงต้องทนทุกข์ไปตลอดชาติ
นางกำพร้ามารดาตั้งแต่อายุห้าขวบ บิดาออกรบขึ้นเหนือล่องใต้ไม่เคยอยู่ข้างกาย หลายปีที่ผ่านมานางเคยชินกับการจัดการทุกอย่างด้วยตนเองนานแล้ว เรื่องการแต่งงานมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ย่อมมิใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน นางสมควรยินดีปรีดาที่ลิ่นเฉิงโย่วไม่อยากแต่ง ต่อไปนางจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง
นางแหงนหน้าหัวเราะลั่น ลืมเรื่องนี้ไปได้ในชั่วพริบตา วันรุ่งขึ้นก็ปรนนิบัติดูแลท่านป้าที่จวนสกุลตู้ตามปกติ ช่วงค่ำพอกลับจวนก็สั่งบ่าวไพร่ทำน้ำแกงข้นกีบเท้าอูฐ
น้ำแกงเนื้อข้นส่งกลิ่นหอมกรุ่นพร้อมปรุงรสด้วยสุราซานเล่อเจียงซึ่งซื้อมาจากร้านสุราปัวซือ ช่างสมกับเป็นอาหารเลิศรสสำหรับเทพเซียนโดยเฉพาะ
หลังจากกินดื่มจนอิ่มหนำสำราญนางก็อาบน้ำล้างตัวในถังไม้ใบใหญ่ เดิมทีกำลังบิดผ้าเนื้อหยาบสำหรับขัดตัว ในห้วงความคิดพลันผุดคำว่า ‘ไม่แต่ง’ สองคำนั้นขึ้นมา
เชอะ
นางหมดอารมณ์สุนทรีย์ทันใด โยนผ้าเนื้อหยาบลงน้ำด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เนื่องจากออกแรงมากเกินไปสักหน่อยน้ำจึงกระเซ็นออกมานอกถังจนเกือบหมด
ไป๋จื่อกับปี้หลัวแอบหลบมุมไปกระซิบกระซาบกัน วันนี้คุณหนูมีโทสะด้วยเหตุอันใดก็ไม่ทราบ เอาแต่โมโหแก้มป่องมาตลอดทั้งวัน
น่าขำ! กำลังอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ
นางสวมเสื้อผ้าอย่างไม่รีบร้อนแล้วเดินกลับห้อง ทว่าพอนอนลงบนเตียงแล้วแผ่นหลังก็ยังรู้สึกคันยุบยิบไม่สบายตัวอย่างน่าประหลาด
อาการคันยุบยิบมิได้อยู่ในกระดูกและผิวหนัง หากยื่นมือไปเกาข้างหลังก็ไม่แน่ว่าจะเกาถูกที่คัน แต่หากไม่สนใจไยดี ก็มักจะเกิดอาการคันยุบยิบเป็นครั้งคราว สุดท้ายสรุปได้ประโยคหนึ่งว่า ‘หงุดหงิด หงุดหงิดจนแทบบ้าเลย’
ความรู้สึกหงุดหงิดเช่นนี้ก่อกวนจิตใจต่อเนื่องนานกว่าสามวัน นานจนกระทั่งนางครุ่นคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา
แต่ในช่วงเวลานี้เองอาการป่วยของท่านป้ากลับทรุดลงกะทันหัน นางปรนนิบัติดูแลเรื่องป้อนอาหารและยาโดยไม่หลับไม่นอน คาดหวังว่าท่านป้าจะอาการดีขึ้นบ้าง ไม่คาดคิดว่าสุดท้ายยิ่งรักษากลับยิ่งย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ
ท่านหมอแต่ละคนอับจนสิ้นหนทาง ท่านลุงเขยกับญาติผู้น้องบุตรชายท่านป้าต่างจิตใจร้อนรุ่มเป็นไฟ นางรีบส่งจดหมายไปหาบิดาโดยด่วน บอกว่าก่อนหน้านี้เชิญท่านหมอมาก็ไร้ประโยชน์ ขอร้องให้เขาเร่งคิดหาวิธีโดยเร็วที่สุด