นับตั้งแต่มารดาจากไปนางก็ไม่ยอมเขียนจดหมายหาบิดาเลยด้วยความโกรธเคืองฝังลึก ทว่าการขอร้องบิดาติดกันหลายครั้งล้วนทำไปเพราะอาการป่วยของท่านป้า
นางไม่อยากให้ท่านป้าเป็นอะไรไป มารดาด่วนจากโลกนี้ไปเร็วนัก โชคดียังมีท่านป้ากับญาติผู้พี่คอยดูแลเอาใจใส่นางอย่างดี หากแม้แต่ท่านป้าก็จากไปอีกคน มิเท่ากับว่านางถูกทิ้งให้เดียวดายอีกครั้งหรือ
บิดาเร่งเดินทางกลับมาเมืองฉางอันตามความคาดหมาย อีกทั้งในคืนนั้นเชิญหัวหน้ากองอวี๋แห่งกองโอสถหลวงมาจับชีพจรให้เป็นการส่วนตัว น่าเสียดายทุกอย่างยังสายเกินไปอยู่ดี โรคของท่านป้ากำเริบจนอวัยวะภายในเสียหาย พยุงอาการมาตลอดหลายวันนี้ถือได้ว่าโชคดี ทว่าตอนนี้หมดทางเยียวยาแล้ว
ในคืนวันที่ท่านป้าจากไปนั้นท่านลุงเขยกับญาติผู้น้องร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกตรงหน้าโลงศพ นางคุกเข่าอย่างซึมกะทือ ในใจรู้ดีว่าร้องไห้ไปก็ไม่ช่วยอะไร เมื่อครั้งอายุห้าขวบเคยลิ้มรสความรู้สึกนี้มาแล้ว ต่อให้นางร้องไห้แทบขาดใจมารดาก็ยังนอนนิ่งไร้สุ้มเสียงอยู่ในโลงศพนั่น
นางจำได้ว่าในคืนที่มารดาจากไปนางยืนอยู่ในห้องเซ่นไหว้ ใช้มือเล็กๆ ทุบแผ่นไม้เย็นเยียบปานน้ำแข็ง
‘ท่านแม่ อาอวี้จะไม่ยั่วโมโหท่านอีกแล้ว’
‘ท่านแม่ ท่านแม่ลุกขึ้นมาหาอาอวี้สิเจ้าคะ’
ในจวนกำลังโกลาหลวุ่นวาย นางฉวยโอกาสที่บรรดาบ่าวไพร่ไม่ทันสังเกตเห็นปีนป่ายขึ้นไปบนแท่นวางโลงศพ มารดาสวมเสื้อผ้าอาภรณ์งดงาม ประดับดอกไม้สีเหลืองทองตรงจอนผม ดวงหน้าสงบนิ่งอ่อนหวานเหมือนกับยามปกติไม่มีผิดเพี้ยน
นางปีนเข้าไปในโลงศพอย่างเงอะงะ โผเข้าหาท่อนแขนอวบของมารดาที่ยื่นออกมา
‘ท่านแม่ กอดอาอวี้เข้านอนนะ’
มารดาไม่สนใจนาง เสียงสะอื้นของเด็กน้อยดังขึ้นแผ่วเบา เอนศีรษะลงแนบชิดทรวงอกมารดาพร้อมกำหมัดแน่น
‘ท่านแม่อย่าโมโหไปเลย อาอวี้เป็นเด็กดี อาอวี้จะช่วยท่านแม่ตีสตรีไม่ดีผู้นั้นเอง’
นางคิดไปว่าพอตื่นขึ้นมามารดาคงจะสนใจนางเหมือนเดิม จึงอิงแอบอยู่ในอ้อมอกมารดาแล้วผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
หรือว่าบางทีคำอธิษฐานในใจคงจะสัมฤทธิผลแล้ว ระหว่างที่นางสะลึมสะลือก็เข้าซุกอ้อมอกอุ่น ทว่าเมื่อนางลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจแกมยินดีกลับมองเห็นใบหน้าซีดเซียวที่เริ่มมีหนวดเครารำไรของบิดา
สีหน้าบิดาสะท้อนความเศร้าอาดูร ดวงตาแดงก่ำเห็นเส้นเลือดชัดเจน ราวกับแก่ชราลงเป็นสิบปีภายในคืนเดียว
นางตื่นตระหนกไปชั่วครู่ ก่อนจะนึกถึงสตรีข้างกายบิดานางนั้นขึ้นมาได้โดยพลันแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
‘ข้าไม่ต้องการท่านพ่อ! ท่านพ่อเป็นคนไม่ดี! ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อมากอด!’
บิดาน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม จากนั้นย่อตัวลงอุ้มนางมาคุกเข่าหน้าโลงศพ ไม่ว่านางจะร้องไห้งอแงเช่นไรเขาก็ยังสงบนิ่งดุจขุนเขา
นางร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด ชั่วขณะนั้นเองนางตระหนักได้แล้วว่ามารดาจะไม่กลับมาอีก ความหวาดกลัวแผ่ขยายไม่สิ้นสุดประหนึ่งหินก้อนยักษ์กดทับในอก นางทั้งทุบทั้งเตะบิดาและกรีดร้องดังลั่น
‘ท่านพ่อเป็นคนไม่ดี! ท่านทำร้ายท่านแม่จนล้มป่วย!’
เมื่อระลึกความทรงจำถึงตรงนี้อารมณ์โศกเศร้าระคนโกรธเกรี้ยวก็ทะลักล้นราวกระแสน้ำหลาก นางคว้าคอเสื้อท่อนบนที่ตนเองสวมอยู่ด้วยสติเลื่อนลอย จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นข้างหู “อาอวี้ อาอวี้!”
เถิงอวี้อี้ได้สติหลุดจากภวังค์ มองเห็นใบหน้าท่านป้าละม้ายคล้ายคลึงกับมารดา ในใจเต็มไปด้วยความขมขื่น นางเอ่ยเรียกเสียงสะอื้นพลางโผเข้าสู่อ้อมอกสตรีตรงหน้า “ท่านป้า”
หลังตู้ฮูหยินนิ่งงันไปเล็กน้อยสีหน้าก็อ่อนโยนลง นางยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเถิงอวี้อี้เบาๆ ราวกับกำลังกล่อมนอน
“เด็กดี เป็นอะไรไปเล่า คงจะเสียขวัญเพราะเจ้าปีศาจนั่นแน่ มีป้าอยู่ทั้งคน ไม่ต้องกลัวนะ”
พวกนางเพิ่งจะเข้ามาในห้อง ขวดยาที่ลิ่นเฉิงโย่วให้มายังอยู่ในมือ เถิงอวี้อี้เหลียวมองไปรอบกาย ทำจิตใจให้สงบลงได้อย่างรวดเร็วแล้วเปิดฝาขวดเทยาลูกกลอนออกมาสามเม็ด
“ท่านป้า พวกเราแยกกันป้อนยาเถอะเจ้าค่ะ”
ตู้ฮูหยินรู้สึกดีใจยิ่งนัก นางส่งเสียงตอบรับแล้วรีบไปเตรียมการ
ตวนฝูนอนอยู่ตรงระเบียงทางเดินหน้าห้อง เถิงอวี้อี้ถือขวดยาออกไปข้างนอกเพื่อจะช่วยชีวิตคน
ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งวิ่งกระหืดกระหอบตรงมา ยิ้มแห้งๆ แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูเถิง ก่อนหน้านี้ข้าน้อยพลั้งปากไป ข้าน้อยโขกศีรษะไถ่โทษคุณหนูก็ได้ แต่คุณหนูรองของข้าน้อยรอการช่วยเหลืออยู่เช่นกัน คุณหนูเถิงรีบมอบยาให้ข้าน้อยเถอะ”
เถิงอวี้อี้ตวัดสายตามองนาง นายบ่าวคู่นี้ทำเรื่องผิดคุณธรรมมาไม่น้อย ตามความเห็นนางอีกฝ่ายมิใช่ผู้บริสุทธิ์เลยสักนิด แต่อย่างไรเสียก็เป็นชีวิตหนึ่ง เห็นคนกำลังจะตายอยู่ตรงหน้าแล้วไม่ช่วยดูเหมือนจะไร้เหตุผลเกินไปบ้าง ฉะนั้นนางจึงคลี่ยิ้มบางๆ เปิดฝาขวดอย่างใจกว้าง ใครจะรู้ว่าเทออกมาเพียงเม็ดเดียวก็หมดขวดเสียแล้ว
คนที่ได้รับบาดเจ็บยังเหลืออยู่สองคน แล้วยาเม็ดเดียวจะแบ่งกันอย่างไร