ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 34
เถิงอวี้อี้จึงไม่กล่าวอะไรต่อแล้ว เถ้าแก่ร้านชาวหูผู้นี้เร้นกายอยู่ในตรอกร้านค้า จะต้องเป็นคนมีนิสัยหยิ่งทะนงรักสันโดษอยู่บ้าง ในเมื่อไม่สนใจไยดีทรัพย์สินเงินทอง คิดว่าคงไม่เห็นเรื่องอำนาจใดๆ อยู่ในสายตาเช่นกัน ทำขนมแป้งม้วนยัดไส้ด้วยตนเองก็มิได้ทำเพื่อเอาใจลิ่นเฉิงโย่ว แต่เห็นเขาเป็นสหายอย่างแท้จริงต่างหาก ดูท่าข้างกายลิ่นเฉิงโย่วคงมีสหายกลุ่มสามคำสอนเก้าสำนักไม่น้อยเลยทีเดียว
“เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนกับศิษย์พี่ของท่านไปเดินเตร็ดเตร่ตั้งหลายที่ปานนั้นเพราะสงสัยว่าชิงจือไม่ได้ฆ่าตัวตายใช่หรือไม่”
ชี่จื้อเกาศีรษะแกรกๆ “เรื่องนี้พวกข้าก็ไม่รู้หรอก เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนกับศิษย์พี่ไม่ได้บอกอันใดเลย”
เถิงอวี้อี้เอ่ยขึ้นว่า “หากชิงจือถูกใครฆ่าตาย มิเท่ากับว่าคนร้ายแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ปะปนอยู่ในหอได้เลยหรอกหรือ เงยหน้าไม่เห็นก้มหน้ากลับเห็น** ไม่แน่ว่าอาจจะเคยร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเราก็ได้”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อกระซิบถามว่า “คุณหนูเถิง ท่านคิดว่าชิงจือถูกใครวางแผนฆ่าใช่หรือไม่”
“ไม่กล้าคาดเดาส่งเดช เมื่อคืนศิษย์พี่ของพวกท่านกับเหล่านักพรตพักอยู่ในศาลเจ้า อยู่ห่างจากบ่อน้ำนั้นไม่ไกลนัก หากชิงจือถูกผู้ใดฆ่าตายตรงหน้าบ่อน้ำจะต้องดิ้นรนร้องขอความช่วยเหลือแน่ ดูจากโสตประสาทของศิษย์พี่พวกท่านไม่มีทางไม่ได้ยินอะไรเลย หากโดนฆ่าจากที่อื่นค่อยเคลื่อนย้ายร่างมายังบ่อน้ำ ระยะทางไกลพอสมควรอย่างนั้น เป็นไปได้สูงว่าจะถูกใครพบเห็นเข้า หลายวันมานี้สถานการณ์อ่อนไหวเป็นพิเศษ มารผีดิบอาจบุกเข้ามาแผลงฤทธิ์ได้ทุกเมื่อ แม้คนร้ายจะเหิมเกริมสักเท่าใดก็คงไม่เลือกลงมือในเวลานี้แน่ ดังนั้นข้าจึงคาดเดาว่าชิงจือฆ่าตัวตาย” เถิงอวี้อี้กล่าว
“แต่ถ้าฆ่าตัวตาย แล้วเหตุใดศิษย์พี่ต้องเชิญสหายร่วมงานจากศาลต้าหลี่มาสืบคดีด้วยเล่า”
เถิงอวี้อี้ไม่ได้ต่อความ หากไม่เป็นเช่นที่นางคิด การที่ลิ่นเฉิงโย่วเรียกสหายจากศาลต้าหลี่มาเช่นนี้คงเป็นเพราะว่าการตายของชิงจือจะต้องมีจุดที่น่าสงสัยแน่ นางเอ่ยเปลี่ยนประเด็นสนทนา “อย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องราวน่ากังวล ถ้าอย่างนั้นให้เป้าจูกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีมาร้องเพลงให้ฟังดีกว่า”
เป้าจูกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีมาถึงอย่างรวดเร็ว เพียงแต่สีหน้าย่ำแย่กว่าปกติ
เถิงอวี้อี้รินน้ำชาให้พวกนางด้วยตนเองพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าจำได้ ครั้งก่อนพวกเจ้าบอกว่าช่วงหลายวันมานี้ชิงจือฝันร้ายอยู่บ่อยๆ พวกเจ้าคุ้นเคยกับชิงจือหรือไม่”
เป้าจูยกถ้วยน้ำชาขึ้นแล้วส่ายหน้า “ข้าน้อยไม่คุ้นเคยกับชิงจือเท่าใดนัก แต่เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกลับเป็นเหมือนคนบ้านเดียวกันกับชิงจือ พอชิงจือจากไปกะทันหัน ช่วงเช้าเจวี่ยนเอ๋อร์หลีก็จิตใจว้าวุ่นอยู่ตลอด”
เถิงอวี้อี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าเจวี่ยนเอ๋อร์หลีมีสีหน้าเหม่อลอย
เป้าจูผลักแขนเจวี่ยนเอ๋อร์หลีเบาๆ “คุณชายถามเจ้าอยู่นะ”
เจวี่ยนเอ๋อร์หลีได้สติกลับมาก็กล่าวตอบอย่างหดหู่ใจ “เรียนคุณชาย ข้าน้อยกับชิงจือจะเรียกว่าเป็นคนบ้านเดียวกันก็ไม่ถูก เพียงแค่ปีนั้นถูกขายมาอยู่ในมือพ่อค้าทาสคนเดียวกัน ข้าน้อยเป็นชาวหู ส่วนชิงจือกลับถูกขายมาจากเมืองสิงหยาง จำได้ตอนนั้นชิงจือพูดอยู่เสมอว่าในครอบครัวยังมีพี่สาวน้องสาวร่วมสายเลือด น่าเสียดายไม่ทันระวังพลัดพรากจากกันไป ข้าน้อยอยู่ร่วมกับนางหลายเดือนก็สนิทสนมกันแล้ว ภายหลังข้าน้อยถูกเอ้อต้าเหนียงซื้อตัวไป ส่วนชิงจือถูกขายให้ว่อต้าเหนียง นับจากนั้นก็ไม่เคยพบหน้ากันอีกเลย จนกระทั่งหอไฉ่เฟิ่งเปิดกิจการข้าน้อยถึงได้พบหน้าชิงจืออีกครั้ง ชิงจือบอกกับข้าน้อยว่าว่อต้าเหนียงรังเกียจที่นางรูปโฉมธรรมดาสามัญ ซื้อตัวนางมาแล้วกลับไม่เคยสอนศิลปะดนตรีให้นางเลย”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรู้สึกสับสน จากประโยคนี้มิใช่หมายความว่าชิงจือผู้นี้อยากเป็นหญิงคณิกาด้วยอย่างนั้นหรือ
เป้าจูเอ่ยด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “คุณชายหวังอาจไม่ทราบ สตรีที่ถูกขายมาอยู่ในหอคณิกาชั่วชีวิตนี้ถูกกำหนดให้มีชะตากรรมน่าเวทนา ชิงจือต่อให้ไม่ต้องปรนนิบัติบุรุษแต่ก็ไม่อาจแต่งเข้าไปในครอบครัวที่มีฐานะดีอย่างเปิดเผยได้ นางไม่ยินยอมที่จะทำงานหนักอยู่ในหอคณิกาไปทั้งชาติ ดังนั้น…ดังนั้น…”
เถิงอวี้อี้เข้าใจแล้ว บางทีในสายตาชิงจือการเป็นหญิงคณิกาเลื่องชื่อดูมีเกียรติกว่าการเป็นสาวใช้ทำงานหนักมากนัก
เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกล่าวต่อว่า “ข้าน้อยถามชิงจือว่าหลายปีมานี้ตามหาพี่น้องร่วมสายเลือดเจอหรือไม่ ชิงจือบอกว่ายังไม่เจอเลย แต่นางบอกว่าว่อต้าเหนียงก็ดีกับนางไม่เลว หากทำงานขยันขันแข็ง เดือนหนึ่งก็เก็บเงินได้หลายเฉียน ต่อมาแม่นางเก๋อจินมาอยู่ที่นี่ เถ้าแก่ก็เรียกให้ชิงจือไปคอยรับใช้แม่นางเก๋อจินแล้ว”
“ถ้าเป็นไปตามนี้ ชิงจือไม่เหมือนคนไม่ไยดีกับชีวิตจนฆ่าตัวตายได้เลยนะ” เถิงอวี้อี้นึกถึงท่าทางหวาดกลัวเสียขวัญของเก๋อจินเมื่อเช้าจึงอดเอ่ยถามไม่ได้ “เก๋อจินดีต่อชิงจือหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ” เจวี่ยนเอ๋อร์หลีพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย “แม่นางเก๋อจินกิริยาสุภาพมีมารยาท นิสัยก็เปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง บุตรหลานชนชั้นสูงเหล่านั้นสรรหาของล้ำค่าหายากมาเอาใจนางเป็นประจำ นางจะแบ่งปันให้คนข้างกายได้ลิ้มลองอย่างใจกว้าง คนข้างนอกส่งเนื้อกวางย่างกับปลาเปรี้ยวหวานมาให้ก็ไม่เคยเก็บไว้กินผู้เดียว นางมาถึงได้ไม่นาน คนในหอทั้งนายบ่าวต่างชื่นชอบนาง ชิงจือมักพูดอยู่เสมอว่าตนเองช่างมีวาสนานัก โชคดีที่ได้รับใช้เจ้านายเช่นนี้”
เป้าจูพลันเอ่ยขึ้นว่า “ไม่หรอก ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นไปเสียหมด”
“อ้อ หรือว่าพวกนางนายบ่าวเคยมีเรื่องบาดหมางกัน”
“เมื่อก่อนก็ยังดีอยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่ชิงจือบอกว่าหลังแม่นางเก๋อจินเสียโฉมราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ชอบพาลโมโหใส่นางอย่างไร้เหตุผลอยู่บ่อยๆ บางครั้งยังทุบตีดุด่านาง ชิงจือทำงานหามรุ่งหามค่ำดูแลเก๋อจิน กลับได้แต่คำตำหนิกลับมา นางบ่นว่าลับหลังกับคนอื่นเป็นประจำ มีครั้งหนึ่งยังไปขอร้องให้ว่อต้าเหนียงเปลี่ยนเจ้านายที่นางต้องรับใช้ ว่อต้าเหนียงดุด่าชิงจือไปยกใหญ่ บอกว่านางไม่สำนึกคุณคน ตอนเจ้านายมีหน้ามีตาก็คอยประจบประแจง ตอนเจ้านายตกต่ำลง สิ่งแรกที่คิดคืออยากเปลี่ยนไปรับใช้ผู้อื่น คนพรรค์นี้จะเก็บเอาไว้ด้วยเหตุใด สมควรตีให้ตายไปเสียดีกว่า ชิงจือตกใจรีบโขกศีรษะขออภัย ตั้งแต่นั้นก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก”
เถิงอวี้อี้คิดทบทวนพลางเอ่ย “เช่นนั้นก็หมายความว่าตอนแม่นางเก๋อจินเพิ่งเกิดเรื่อง ชิงจือยังไม่ได้ฝันร้าย หลายวันมานี้ถึงเริ่มนอนหลับไม่สนิทใช่หรือไม่”
เป้าจูผงกศีรษะ “ชิงจือเป็นคนที่ใช้แต่เรี่ยวแรงไม่ใช้หัวคิด แม่นางเก๋อจินโดนวิญญาณอาฆาตทำร้าย คนในหอต่างตกอยู่ในอันตราย ชิงจือกลับมีท่าทางเป็นปกติดีอยู่ เพียงแค่กลัดกลุ้มอนาคตของแม่นางเก๋อจินกับตนเอง บอกว่าหากรูปโฉมแม่นางเก๋อจินไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิม อาหารรสโอชาหายากที่เมื่อก่อนเคยอาศัยวาสนาของอีกฝ่ายถึงได้ลิ้มลอง วันหน้าคงจะไม่มีโอกาสได้กินอีกแล้วใช่หรือไม่”
เถิงอวี้อี้ส่งเสียงจิ๊ด้วยความประหลาดใจ นี่หาใช่เพียงใช้เรี่ยวแรงไม่ใช้หัวคิด แต่เรียกได้ว่านางไม่มีหัวใจเลยต่างหาก
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อคิดแล้วยังสับสน “คนที่นิสัยเช่นนี้เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงนอนหลับไม่สนิทได้ ระยะนี้ตอนกลางคืนชิงจือฝันร้ายอยู่บ่อยๆ คนที่นอนร่วมห้องไม่ถามหาสาเหตุจากนางบ้างหรือ”
“เรื่องนี้…ข้าน้อยก็ไม่ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เถิงอวี้อี้ร้องอุทานในลำคอ บรรดาหญิงสาวในหอคณิกาแยกแยะระดับชัดเจน เอ้อจีทุ่มเทเงินทองและหยาดเหงื่อแรงกายไปมากเพียงนี้ คงเพราะหวังให้เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูกลายเป็นดาวเด่นในอนาคต ชิงจือเป็นสาวใช้ทำงานหนักผู้หนึ่ง เอ้อจีไม่มีทางยอมให้หญิงสาวที่ตนเองประคบประหงมเลี้ยงดูสนิทสนมกับนางเกินไป
เถิงอวี้อี้ยกมือดันหน้าผาก “ช่างเถอะ คุยกันมาตั้งมากมายเพียงนี้คงเหนื่อยแล้วสิ ข้างนอกก็เอะอะวุ่นวาย พวกเจ้านั่งพักอยู่ในห้องข้างประเดี๋ยวหนึ่งค่อยไปเถอะ”
เป้าจูกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีมีท่าทีกระสับกระส่าย “คุณชายไม่ให้พวกเราเล่นดนตรีแล้วหรือเจ้าคะ”
“อย่าเอาเพลงชาวหูดีกว่า เล่นลำนำเก็บดอกบัวก็แล้วกัน”
หญิงสาวทั้งสองขานรับพร้อมกัน เจวี่ยนเอ๋อร์หลีเริ่มเล่นเครื่องเป่าก่อน เป้าจูก็ดีดเครื่องสายตามมา
เพลงเพิ่งจะบรรเลงไปได้ค่อนทาง เป้าจูกลับพลันหยุดชะงัก