ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35
บทที่ 35
เป้าจูเพิ่งจะเดินจากไป เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อก็โผล่มา “คุณชายหวัง พวกเราตั้งใจว่าจะไปที่ศาลเจ้ายืมกระดาษยันต์มาใช้ เวลาล่วงเลยมามากแล้ว ท่านจะไปกับพวกเราด้วยหรือไม่”
เด็กชายทั้งสองท่าทางเซื่องซึม คิดว่าคงยังไม่สบายใจกับเรื่องเมื่อตอนบ่าย
เถิงอวี้อี้เป็นคนที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ นับตั้งแต่รู้ว่าจุดสำคัญของมารผีดิบกับคุณชายเสื้อทองคำอยู่ตรงที่ใด ก็ครุ่นคิดตลอดเวลาว่าจะต้องทำอะไรบางอย่าง พอได้ยินว่าจะไปพบห้านักพรตนางจึงตอบรับอย่างรวดเร็ว “ไปกันเถอะ”
พอเดินเข้าประตูก็มองเห็นม้วนไม้ไผ่วางกองเกลื่อนกลาดอยู่ในศาลเจ้า ห้านักพรตแห่งอารามตงหมิงกำลังก้มหน้าก้มตาหาอะไรบางอย่าง
“เอ๋? คุณชายหวังก็มาด้วยหรือ” เจี้ยนสี่ผลักห่อผ้ากองตรงปลายเท้าออกไป ยิ้มแย้มหน้าระรื่น “เชิญนั่งๆ”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อถามขึ้นว่า “ช่วงบ่ายผู้อาวุโสทุกท่านไปที่ใดมาหรือ ผู้เยาว์ตามหาทั้งในหอหน้าและเรือนหลังอยู่นานก็ไม่พบเลย”
“พวกเราจะไปที่ใดได้ ถ้าไม่ใช่อยู่ด้วยกันกับซื่อจื่อ”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อสะดุ้งตกใจ “อยู่ด้วยกันกับศิษย์พี่?”
เจี้ยนเซียนเห็นสีหน้าของพวกเขาก็กุมท้องหัวเราะลั่นขึ้นมา “มิน่าเล่าศิษย์พี่พวกเจ้าอยู่ว่างๆ ถึงมีเรื่องดุด่าพวกเจ้าเสมอ ในสมองของพวกเจ้าวันวันหนึ่งมัวแต่คิดอะไรอยู่กัน”
เถิงอวี้อี้รู้สึกว่าเรื่องเมื่อบ่ายผิดปกติอยู่ก่อนแล้ว พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็ไม่แปลกใจ “พวกท่านทุกคนไปช่วยซื่อจื่อกำจัดปีศาจที่ใดมาหรือ”
“ไม่ถือว่ากำจัดปีศาจหรอก เมื่อเช้าชิงจือผู้นั้นไม่ใช่ตายอย่างเป็นปริศนาหรือไร ซื่อจื่อสงสัยว่าจะมีสิ่งชั่วร้ายปะปนเข้ามาในหอ ตอนบ่ายจึงเรียกพวกเราไปช่วยเหลือ”
เจี้ยนเหม่ยกล่าวต่อ “เจ้าสิ่งนั้นเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ โดนมารผีดิบบงการกลับไม่รู้ตัว วิธีการแยกแยะภูตผีเช่นปกติพิสูจน์ไม่ได้ จึงต้องใช้วิธีการไม่ปกติมาทดสอบดูน่ะสิ”
ประกายแสงสีขาวสว่างวาบในสมองเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ ศิษย์พี่ให้คนเตรียมถังอาบน้ำมากเพียงนั้น ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้เอง
“ศิษย์พี่เรียกหญิงสาวในหอทุกคนไปด้วยเพราะอยากจะหาตัวปีศาจ?”
“ไม่อย่างนั้นแล้วจะเรียกไปด้วยเหตุใดเล่า”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเกาศีรษะอย่างคับแค้นใจ โชคไม่ดีที่พวกเขาพูดจาไม่รู้จักหนักเบาไปตั้งมาก คิดว่าศิษย์พี่คงโมโหแทบอกแตกตายแล้ว
เถิงอวี้อี้นึกในใจว่า จะตำหนิว่าเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อคิดเหลวไหลไม่ได้หรอก ลิ่นเฉิงโย่วปิดบังผู้อื่นก็แล้วไปเถอะ แม้กระทั่งศิษย์น้องสองคนก็ยังปิดบังด้วย ทั้งยังกระทำการเอิกเกริกปานนั้น จะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นบุรุษเสเพลก็ไม่เกินเลยไปสักนิด
“ศิษย์พี่คงไม่ได้ละลายยันต์แยกวิญญาณลงในน้ำอาบกระมัง”
“ถูกต้องแล้ว เจ้าสิ่งนั้นแม้จะเรียกว่าเป็นครึ่งคนครึ่งผี แต่ยังหลงเหลือจิตใจอยู่ครึ่งหนึ่ง เมื่อมีทองคำเป็นเหยื่อล่อ จะต้องหาวิธีกลั้นหายใจในน้ำให้นานที่สุดแน่ แต่ในเมื่อนางถูกมารผีดิบใช้งาน ทวารทั้งเจ็ด* คงโดนพลังอินเข้าแทรกซึมไปนานแล้ว ขอเพียงแช่ในถังอาบน้ำนานสักหน่อยจะต้องเผยพิรุธออกมาแน่”
เถิงอวี้อี้ถามด้วยความอยากรู้ “แล้วตามหาคนผู้นั้นเจอหรือไม่”
“ไม่เจอเลย” ห้านักพรตถอนหายใจอย่างฉงนสงสัย “แต่ไหนแต่ไรมาวิธีนี้ใช้ทดสอบคนครึ่งอินครึ่งหยาง ไม่เคยมีครั้งใดผิดพลาด มาวันนี้พอทดสอบดูแล้วกลับไม่มีใครผิดปกติ”
ชี่จื้อนั่งยองแล้วเอามือเท้าคางขบคิด “หญิงสาวในหอถูกตรวจสอบหมดแล้วใช่หรือไม่ หรือว่าจะมีผู้ใดตกหล่นไป”
เจี้ยนเทียนส่ายหน้ากล่าว “ยายเฒ่าที่รับผิดชอบงานทำความสะอาด ซื่อจื่อก็เรียกไปทดสอบด้วย ขนาดเฮ่อหมิงเซิงยังโดนบังคับให้แช่น้ำในถังตั้งนาน คนชราคนหนุ่มสาวถูกตรวจสอบไปรอบหนึ่งแล้ว สุดท้ายยังหาไม่เจอว่าใครผิดปกติ”
เจี้ยนเหม่ยชี้มาทางเถิงอวี้อี้ “ก็ไม่แน่หรอก พวกคุณชายหวังไม่ใช่ว่ายังไม่ได้ไปทดสอบแช่น้ำหรอกหรือ”
“นั่นเพราะพวกนางสามคนไม่มีทางเป็นหุ่นเชิดไปได้” เจี้ยนเล่อพลิกเปิดม้วนไม้ไผ่ในมือ “พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเก๋อจินเคยถูกปีศาจจับตัวไป ต้องเสี่ยงอันตรายกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ ส่วนคุณชายหวังถูกมารผีดิบไล่ล่ามาสองครั้งแล้ว หากมารผีดิบอยากให้พวกนางเป็นหุ่นเชิด ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเช่นนี้เลย อย่างมากเพียงป้อนน้ำลายให้พวกนางกินสักนิดก็สิ้นเรื่อง รับรองว่าต้องเชื่อฟังแต่โดยดีเป็นแน่”
เถิงอวี้อี้ตกตะลึง “วิธีที่มารผีดิบเปลี่ยนคนให้เป็นหุ่นเชิดก็คือการป้อนน้ำลาย?”
เจี้ยนเล่อตบหน้าขาฉาดใหญ่พร้อมหัวเราะลั่น “น่าขยะแขยงมากใช่หรือไม่ น้ำลายของนางเป็นของล้ำค่ามากทีเดียว ปกติป้อนไปคำเดียว ต่อให้คนผู้นั้นมองผิวเผินไม่แตกต่างจากคนธรรมดา ทว่าจิตใจกลับโดนควบคุมจนอยู่หมัดแล้ว”
เถิงอวี้อี้ตัวสั่นขึ้นมาทันใด หากเป็นเช่นนี้ คืนนั้นตอนอยู่ในวังเฉิงอ๋องหลายคนที่ตกเป็นหุ่นเชิดมิเท่ากับเคยกินน้ำลายมารผีดิบเข้าไปรึ นางคิดถึงกู้เซี่ยนจากแคว้นหนานจ้าวผู้นั้น หากเขาตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าโดนมารผีดิบป้อนน้ำลายให้กิน เกรงว่าคงคลื่นไส้จนกินข้าวไม่ลงไปเป็นเดือนเลยกระมัง
“ป้อนน้ำลายมากก็โดนควบคุมได้นาน ป้อนน้ำลายน้อยก็โดนควบคุมได้ไม่นาน วิธีนี้ไม่เพียงหยาบช้าและเห็นผลชัดเจน หุ่นเชิดที่สร้างขึ้นมายังเชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดีด้วย ต่อให้สุดท้ายจะโดนมารผีดิบคว้านหัวใจ หุ่นเชิดก็จะไม่มีความโกรธแค้น ดังนั้นมารผีดิบจะไม่มีทางเอาหัวใจจากหุ่นเชิด คนที่จะโดนนางเอาหัวใจไปจะต้องเป็นคนที่มีสติรู้ตัว เพราะคนลักษณะนี้เท่านั้นถึงจะมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา* ถึงได้โดนภาพมายาของมารผีดิบทรมานให้เจ็บปวดแทบทนไม่ไหว”
เจี้ยนสี่เอ่ยต่อว่า “นอกจากนี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง ก็คือครั้งก่อนหลังเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเก๋อจินถูกช่วยกลับมา ก็ถูกป้อนยาลูกกลอนชำระจิตทันที สำหรับคนที่ตกเป็นหุ่นเชิดมานานยาลูกกลอนชนิดนี้จะไม่มีประโยชน์มากนัก แต่หากเพิ่งโดนมารผีดิบควบคุม ยาเม็ดเดียวก็ทำให้พวกนางได้สติแล้ว”
เถิงอวี้อี้พยักหน้าเงียบๆ มิน่าเล่าลินเฉิงโย่วถึงได้รับปากปล่อยเจวี่ยนเอ๋อร์หลีไปง่ายดายเช่นนั้น ที่แท้ก็ไม่คิดจะเรียกนางเข้าไปทดสอบแช่น้ำอยู่แล้วนี่เอง
นางกล่าวขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ “ในเมื่อคนที่ควรทดสอบก็ทดสอบครบแล้ว หมายความว่าไม่มีสิ่งชั่วร้ายซ่อนอยู่ในหอแล้วมิใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นการตายของชิงจือก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยแล้วสิ คงเป็นการกระโดดบ่อฆ่าตัวตายกระมัง”
เจี้ยนเทียนเบะปากทันใด “เมื่อเช้าข้าก็เห็นแล้ว แค่มองศพของชิงจือก็เห็นชัดเจนว่าเป็นการตายเพราะสำลักน้ำ ซื่อจื่อกลับนั่งมองอยู่ข้างศพชิงจือพักหนึ่ง คงจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างบนเสื้อผ้านางได้ แต่ข้างบ่อน้ำทั้งไม่พบวี่แววสิ่งชั่วร้าย แล้วก็ไม่พบร่องรอยการตั้งค่ายกล ข้ายังไม่ทันมองสำรวจศพอย่างละเอียด ขุนนางฝ่ายกฎหมายของอำเภอที่ได้ยินข่าวก็มาถึงอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นก็ไล่ข้าไปอยู่อีกทางหนึ่ง ไม่อนุญาตให้ข้าเข้าใกล้แล้ว”
เจี้ยนเซียนกล่าวด้วยความงุนงง “เช่นนี้หมายความว่าซื่อจื่อจะต้องพบอะไรบางอย่าง แต่เหตุใดถึงไม่ยอมเอ่ยถึงสักคำเลยเล่า”
“เป็นไปได้ว่าซื่อจื่อคงมีเรื่องที่วิตกกังวลอยู่ ข้าเพียงแปลกใจว่าหากชิงจือถูกใครฆ่าตาย เพราะเหตุใดคนร้ายถึงรอต่อไปอีกสองสามวันไม่ได้ ดึงดันจะถือโอกาสลงมือทั้งที่พวกเรากับซื่อจื่อยังอยู่ คนร้ายไม่กลัวว่าจะเผยช่องโหว่หรือไร”
เถิงอวี้อี้คิดทบทวนแล้วก้มตัวเก็บม้วนไม้ไผ่ตรงปลายเท้าขึ้นมา “คิดว่าคงถึงขั้นต้องลงมืออย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว หากชิงจือไม่ตาย จุดอ่อนของคนผู้นั้นจะถูกเปิดโปงออกมาได้ทุกเมื่อ ชิงจือตายไปแล้ว พวกท่านก็ไม่แน่ว่าจะสืบหาความจริงได้ ข้าคาดเดาว่าคนร้ายคงเดิมพันเรื่องนี้เอาไว้เช่นนี้”
จากนั้นได้ยินเสียงคนจากนอกประตูเอ่ยว่า “คุณชายหวังไม่อยู่ในห้องตนเอง เที่ยววิ่งโร่มานั่งคุยเล่นกับพวกเราถึงที่นี่เลยหรือ”
ทุกคนหันขวับไปมองตามเสียง จึงเห็นบุรุษหนุ่มสวมเสื้อแพรประดับเกี้ยวหยกเดินเข้ามาข้างใน ไม่ใช่ลิ่นเฉิงโย่วแล้วจะเป็นใครได้
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อประหนึ่งบั้นท้ายโดนไฟลวกร้อนผ่าว ต่างกระเด้งตัวลุกพรวดขึ้นมา “ศิษย์พี่!”
ลิ่นเฉิงโย่วสะพายซองธนู ตรงจอนผมมองเห็นเหงื่อไหลซึม พอเข้ามาแล้วชำเลืองมองเถิงอวี้อี้แวบหนึ่ง พร้อมทั้งโยนของที่ถือไว้ลงบนโต๊ะน้ำชาอย่างไม่ใส่ใจ
เถิงอวี้อี้เพ่งมองตามไป เห็นว่าเป็นห่อของขนาดเล็กๆ ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
เหล่านักพรตถามอย่างแปลกใจ “ซื่อจื่อ นี่ท่านไปที่ใดมาหรือ เหตุใดมองดูเหมือนเพิ่งไปประมือกับใครมาเลยเล่า”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยตอบ “กำลังจะพูดกับพวกท่านอยู่นี่อย่างไร เรื่องเกี่ยวกับชิงจือ…” จู่ๆ ก็หันไปทางเถิงอวี้อี้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณชายหวัง เวลาล่วงเลยมามากแล้ว พวกข้าทางนี้ไม่สะดวกจะให้เจ้าอยู่ที่นี่ เชิญเจ้ากลับไปเถอะ”
เถิงอวี้อี้นึกแปลกใจว่าเหตุใดลิ่นเฉิงโย่วเป็นฝ่ายเอ่ยถึงชิงจือขึ้นมาก่อน พอเห็นแววตายั่วยุยียวนก็เข้าใจกระจ่าง คงเป็นเพราะได้ยินคำพูดเหล่านั้นของนางตอนอยู่หน้าประตู รู้ว่านางสงสัยเรื่องนี้อยู่ถึงจงใจเอ่ยปากแต่กลับไม่พูดอะไรต่อ คำสั่งไล่แขกก็ออกมาแล้ว แม้ว่านางจะอยากรู้จนหัวใจคันยุบยิบก็ต้องจากไปอยู่ดี
ชี่จื้อกล่าวด้วยความลำบากใจ “ศิษย์พี่ ตอนนี้ก็มืดค่ำแล้ว มารผีดิบอาจบุกเข้ามาอาละวาดได้ทุกเมื่อ คุณชายหวังอยู่ในห้องผู้เดียวเกรงว่าจะไม่เหมาะ ต้องให้พวกเรากลับไปพร้อมกันเลยหรือไม่ขอรับ แต่พวกเรายังอยากอยู่กับศิษย์พี่ต่ออีกสักหน่อย”
“พวกเจ้าต้องอยู่ต่อ นับตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปตั้งใจเรียนรู้ทำตัวสงบเสงี่ยมสักหน่อย จะได้ไม่โดนผู้อื่นยุยงไม่กี่ประโยคก็ลืมกระทั่งว่าตนเองเป็นศิษย์อารามชิงอวิ๋น!”
ขณะที่เขาเอ่ยประโยคนี้ก็เผยรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า แต่นัยน์ตานิ่งขรึมราวกับเคลือบเกล็ดน้ำค้างแข็งเอาไว้