ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35
น้ำแกงชามนี้นางดื่มเข้าไปเองแท้ๆ เขาไม่ได้บังคับให้นางดื่ม จะว่าไปแล้วตั้งแต่รู้จักกับนางมาเขาก็ไม่เคยมีเวลาว่างเลย เทียบกับสิ่งที่นางทำลงไปตลอดหลายวันมานี้เขาแทบจะเรียกได้ว่ามีจิตใจดั่งพระโพธิสัตว์ คืนนี้ถือว่านางยกหินหล่นทับเท้าตนเอง เคยใช้ประโยชน์จากเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อไปกี่ครั้งแล้ว คงคิดไม่ถึงว่าเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อก็มีช่วงเวลาที่พึ่งพาไม่ได้เช่นกันกระมัง
“คุณชายหวังค่อยๆ ร้องไห้ไปเถอะ” ลิ่นเฉิงโย่วหัวเราะอย่างเริงร่า สองมือไพล่หลังเดินเฉียดผ่านข้างกายเถิงอวี้อี้ “ยาชนิดนี้ไม่ชอบอารมณ์เศร้าสลดหดหู่ที่สุด ยิ่งร้องไห้เท่าไร ผื่นไอร้อนยิ่งขึ้นมากเท่านั้น”
เถิงอวี้อี้สะอื้นออกมาคำหนึ่ง ถึงแม้ลิ่นเฉิงโย่วจะไร้ความรู้สึกดั่งก้อนหิน กลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาเช่นกัน เถิงอวี้อี้ไม่เหมือนคนที่พบเจอปัญหาก็เอาแต่ร้องไห้พรรค์นั้นเลย แค่มีผื่นไอร้อนขึ้นมาเองมิใช่หรือ ทำราวกับฟ้าจะถล่มลงมากระนั้น
เขาจึงหยุดฝีเท้าเหลียวกลับไปมองด้วยความอยากรู้ พลันประกายแสงสีเงินพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว เบื้องหน้ามีเข็มเงินลอบจู่โจมประหนึ่งห่าฝน
“ศิษย์พี่ ระวัง!” ชี่จื้อตะโกนลั่น
ก่อนหน้านี้ลิ่นเฉิงโย่วเคยพลาดท่าเพราะเถิงอวี้อี้มาครั้งหนึ่งแล้ว รู้ว่านางชอบซุกซ่อนอาวุธลับเข็มพิษเอาไว้บนร่าง เดิมทีก็คอยระแวดระวังอยู่ทุกขณะ เมื่อครู่การร้องไห้ครั้งนี้เกือบทำให้เขาหลงกลนางแล้ว
เขาสะบัดแขนเสื้อปัดเข็มเงินไปได้มากกว่าครึ่ง แต่กระบวนท่านี้มาอย่างปุบปับฉับพลัน ต่อให้เขาจะลงมือว่องไวปานสายฟ้าแต่ก็ยังคงมีเข็มเงินสองสามเล่มพุ่งตรงเข้าใส่หน้าอกและหน้าท้อง ลิ่นเฉิงโย่วเบี่ยงตัวกระโดดหลบ เหยียบกระเบื้องแล้วเหาะเหินลงไปด้านล่าง ตลอดทางเหยียบย่ำไต่อากาศจนแตะพื้นดินโล่งกว้างหน้าห้องโถงกลางได้อย่างสง่างาม
เขาหันหลังกลับไปมองด้านบนโดยพลัน เห็นเถิงอวี้อี้ยืนจ้องมองเขาอยู่ใต้แสงจันทร์
“เถิงอวี้อี้! เจ้ายังกล้าลอบทำร้ายข้าอีกรึ!”
เพียงชั่วอึดใจเถิงอวี้อี้ก็เก็บน้ำตาเรียบร้อย เชิดหน้าขึ้นเดินเหยียบกระเบื้องจากไป “ขอบคุณซื่อจื่อมากที่บอกวิธีข่มฤทธิ์ยาให้ข้ารู้ ส่วนข้าจะรับสมุนไพรวิเศษนี้ได้หรือไม่คงต้องดูความสามารถของตนเองแล้ว”
ตอนแรกลิ่นเฉิงโย่วคิดจะกระโดดกลับขึ้นไปบนหลังคา แต่แล้วก็เก็บมือกลับมา มองเงาร่างเถิงอวี้อี้แวบหนึ่งด้วยแววตาแฝงความนัย ก่อนจะหันหน้ากลับไปยังเรือนหลัง
ทางฝั่งเจวี๋ยเซิ่งเพิ่งจะติดยันต์นอกห้องเจวี่ยนเอ๋อร์หลีเสร็จ พอจัดการงานนี้เรียบร้อยแล้วก็เดินตรวจสอบตามแนวระเบียงทางเดินไปทีละห้อง หลังแม่นางเก๋อจินไล่เจวี่ยนเอ๋อร์หลีออกมาแล้วก็ปิดประตูเงียบเชียบ เขาอยู่ด้านนอกแทบไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว แต่ว่าจะดีจะร้ายอย่างไรยันต์บนประตูก็ยังอยู่ดี
ระหว่างที่เขากำลังขบคิดไตร่ตรองก็หันไปเห็นลิ่นเฉิงโย่วกับชี่จื้อเดินมา จึงรีบเดินเข้าไปรับหน้า “ศิษย์พี่ คุณชายหวังเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยว่า “พวกเจ้ามีใจห่วงใยเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องจริงนะ งานที่ข้าให้ทำเสร็จแล้วหรือ”
“ศิษย์พี่วางใจเถอะ ทำเสร็จหมดแล้วขอรับ” เจวี๋ยเซิ่งตบหน้าอกตนเองดังป้าบๆ
ขณะเอ่ยตอบศิษย์พี่ เขากับชี่จื้อต่างขยิบตาให้กัน หลังกลับมาถึงห้องอย่างกลัดกลุ้มกังวลชี่จื้อก็ยืนอยู่ข้างกายลิ่นเฉิงโย่วอย่างสงบเสงี่ยม เอ่ยเสียงอู้อี้ว่า “ศิษย์พี่ คุณชายหวังไม่สบายตัวถึงเพียงนั้น สาเหตุเป็นเพราะดื่มน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงจริงหรือ”
ลิ่นเฉิงโย่วหยิบกระดาษปึกหนึ่งออกจากอกเสื้อ “นางข่มฤทธิ์น้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงไม่ได้ สองสามวันนี้ต้องลำบากสักหน่อย”
เด็กชายทั้งสองมีสีหน้าตกใจ เป็นเพราะข่มฤทธิ์น้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงไม่ได้จริงๆ น่ะหรือ
“ถ้า…ถ้าอย่างนั้นต้องทำเช่นไรถึงข่มฤทธิ์ยาได้”
“ข้าบอกวิธีข่มฤทธิ์ยากับนางไปแล้ว ไม่อยากมีผื่นไอร้อนขึ้นตามตัวคงต้องฝึกวรยุทธ์แล้ว ขอเพียงยอมฝึกฝนกำลังภายใน เท่ากับจะได้พลังมาเจ็ดแปดปีโดยไม่ต้องเปลืองแรง หากกระทั่งความลำบากเพียงเท่านี้ยังไม่ยอมรับ ก็โทษคนอื่นไม่ได้แล้ว”
ในตอนนี้ชี่จื้อเข้าใจกระจ่างหมดแล้ว ทั้งรู้สึกละอายใจและเสียใจอย่างห้ามไม่อยู่ “ศิษย์พี่ ถึงอย่างไรคุณชายหวังก็ไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน ตอนนี้แม้ว่ายังอายุไม่มาก แต่ได้ยินว่าก็ล่วงเข้าวัยปักปิ่นแล้ว หากเริ่มฝึกตั้งแต่ต้นจริงจะต้องทรมานมากแน่ๆ แต่ถ้ามัวรีรอไม่ยอมฝึกให้เส้นชีพจรเปิดโล่งสักสองสามเส้น จะมีผื่นไอร้อนขึ้นมาหลายเม็ดจริงๆ ใช่หรือไม่ขอรับ”
“ไม่ใช่แค่เม็ดสองเม็ด แต่ขึ้นเป็นแถบ”
เจวี๋ยเซิ่งคิดถึงสภาพใบหน้าเถิงอวี้อี้ที่มีผื่นไอร้อนขึ้นเต็มไปหมด จู่ๆ ร่างกายก็หนาวสะท้านขึ้นมา “ศิษย์พี่ อย่าว่าแต่คุณชายหวังเลย แม้แต่ขันทีถวายการรับใช้ใกล้ชิดในวังหลวงยังไม่ชอบให้หน้าเป็นรอยแผล คุณชายหวังที่แท้แล้วหน้าตางดงามปานนั้น หากมีผื่นไอร้อนขึ้นมาแล้วทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้เต็มหน้าคงน่าเสียดายยิ่งนัก ศิษย์พี่ ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือขอรับ”
“ไม่มี” ลิ่นเฉิงโย่วยกตะเกียงเข้ามาใกล้พลางคลี่เปิดกระดาษที่อยู่ในมือ “รากวิญญาณหยกเพลิงเป็นสมุนไพรวิเศษอันดับหนึ่งในใต้หล้า ในเมื่อจับพลัดจับผลูดื่มไปแล้ว คงต้องอาศัยความสามารถตนเองข่มฤทธิ์มันไป มีอย่างที่ใดจะเอาแต่ผลประโยชน์ไปหมดโดยไม่ยอมทนลำบากสักนิด”
ชี่จื้อเดินวนไปวนมาด้วยความร้อนใจ “เป็นความผิดข้า! เป็นความผิดข้าเอง! รู้แต่แรกก็คงไม่แบ่งน้ำแกงให้คุณชายหวังดื่มแล้ว” ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นมา “ศิษย์พี่ ครั้งก่อนฝ่าบาทเคยตรัสกับท่านอาจารย์ว่าในวังหลวงมีตำรากระบี่ชื่อ ‘กระบี่ดอกท้อหรู่หนาน’ ว่ากันว่าเพลงกระบี่ชุดนี้เหมาะสำหรับคนที่มีร่างกายอ่อนแอใช้ฝึกฝนในช่วงแรก ที่สำคัญกระบวนท่าเรียบง่าย ไม่อย่างนั้นศิษย์พี่ใช้เพลงกระบี่นี้ชี้แนะคุณชายหวังก่อนดีหรือไม่ขอรับ”
ลิ่นเฉิงโย่วมีสีหน้าแปลกพิกลขึ้นมาฉับพลัน “เพลงกระบี่ดอกท้อ? ข้าสอน? ตามความเห็นข้า คนที่ร้อนใจจนประสาทเสียไม่ใช่คุณชายหวัง แต่เป็นเจ้ามากกว่า ชี่จื้อ”
เจวี๋ยเซิ่งทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม “ศิษย์พี่ หากเป็นอาจือจวิ้นจู่มีผื่นไอร้อนขึ้นตามตัว ท่านจะยังนิ่งดูดายหรือไม่”
ลิ่นเฉิงโย่วคลี่ม้วนไม้ไผ่ “แน่นอนว่าไม่มีทางนิ่งดูดาย แต่อาจือเป็นน้องสาวข้า ส่วนคุณชายหวังกับข้าเกี่ยวข้องอะไรกันเล่า”
“ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่ขอเพียงท่านลองคิดว่าอาจือจวิ้นจู่มีผื่นไอร้อนขึ้นตามตัวจะร้อนใจเพียงใด คงพอเข้าใจความรู้สึกคุณชายหวังในตอนนี้ได้แล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยตัดบทศิษย์น้องทั้งสอง “พวกเจ้าลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่าตนเองยังโดนลงโทษอยู่ ยันต์คัดลอกเสร็จแล้ว? ทบทวนบทเรียนเรียบร้อยแล้ว? ไม่อยากกลับไปเข้าห้องกักบริเวณก็อย่าโอ้เอ้ รีบไปที่ศาลเจ้าหลังเล็กทำความสะอาดตาค่ายกลเสีย จำคำที่ข้าพูดไว้ให้ดี ต้องสะอาดทุกซอกทุกมุมไม่มีตกหล่น หากกล้าอู้งานพรุ่งนี้ยังต้องรับโทษหนักอีก”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อตระหนักดีว่าไม่อาจโน้มน้าวใจได้ในชั่วครู่ชั่วยาม ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็กลับห้องแล้ว จะร้อนใจเพียงใดคงต้องรอวันพรุ่งนี้ เด็กชายทั้งสองจำใจลุกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ศิษย์พี่ ถ้าคืนนี้พวกเราไปอยู่ที่ศาลเจ้า คุณชายหวังกับพวกนางสองคนใครจะคอยดูแลเล่า”
“คืนนี้ข้าจะนอนที่นี่”
เด็กชายสองคนเดินไปถึงข้างประตูแล้วก็รีบวิ่งกลับมา “ศิษย์พี่ ท่านตรวจสอบพบอะไรแล้วใช่หรือไม่”
พวกเขาเอ่ยถามแล้วหันไปมองที่โต๊ะข้าง ต้องประหลาดใจที่เห็นหลักทรัพย์จำนำกองหนึ่ง ของจำนำที่ระบุในตั๋วเป็นเครื่องประดับมีค่าแทบทั้งสิ้น
พออยากจะเห็นว่าคนจำนำของคือผู้ใด แต่ตำแหน่งมุมล่างด้านขวาซึ่งควรจะลงชื่อเอาไว้กลับเป็นรอยนิ้วมือสีแดงเข้มประทับอยู่ พวกเขาคิดดูก็เข้าใจได้ว่าคนผู้นั้นคงไม่รู้หนังสือเป็นแน่
“ศิษย์พี่ ตั๋วจำนำมาจากที่ใดกัน คนผู้นี้เหตุใดต้องจำนำเครื่องประดับมากมายเช่นนี้ด้วย”
ลิ่นเฉิงโย่วไม่สนใจคำถามนี้ เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเบนสายตามองไปทางมุมอื่นอย่างเก้อเขิน บนโต๊ะยังมีกระดาษอีกกองหนึ่ง เมื่อลองพลิกดูทีละใบจึงเห็นว่าเป็นสัญญาขายตัวของดาวเด่นในหอจำนวนสิบคนตามลำดับ โดยด้านบนสุดเขียนชื่อแซ่และบ้านเกิดของแม่นางเว่ยจื่อกับแม่นางเหยาหวงเอาไว้
เพียงเท่านี้ก็แล้วไปเถิด แต่ชื่อที่เขียนอยู่บนกระดาษแผ่นนั้นในมือลิ่นเฉิงโย่วกลับเป็นชื่อที่ไม่คุ้นตาอย่างสิ้นเชิง
“ศิษย์พี่ เถียนอวิ่นเต๋อเป็นใครกันขอรับ”
ลิ่นเฉิงโย่วตัดแต่งไส้ตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างจ้ากว่าเดิมพลางเอ่ยตอบ “เถ้าแก่ร้านขายผ้าไหมคนก่อน”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อตกใจกลัวจนตัวสั่น เถ้าแก่ร้านค้าผู้นี้ป่วยตายไปเพราะโรคปวดศีรษะเมื่อปีที่แล้ว
“แล้วชีซื่อผู้นี้เป็นใครอีกเล่า”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ย “ภรรยาร่วมผูกผม* ของเถียนอวิ่นเต๋อ”
“สตรีที่บีบให้อนุภรรยาของสามีฆ่าตัวตายน่ะหรือ” เจวี๋ยเซิ่งถามอย่างงุนงง “ศิษย์พี่ ท่านกำลังสืบเรื่องสาเหตุการตายของชิงจืออยู่ไม่ใช่หรือไร ไยถึงไปสืบเรื่องสามีภรรยาเจ้าของร้านขายผ้าไหมอีกเล่า ได้ยินว่าหอไฉ่เฟิ่งเพิ่งเปิดกิจการเมื่อครึ่งปีก่อน แต่สามีภรรยาคู่นี้กลับตายไปหนึ่งปีกว่าแล้ว”
‘ได้ยินว่า’ อีกแล้วสิ
ลิ่นเฉิงโย่วเหลือบตามองพวกเขาสองคน “พวกเจ้าอยู่ในหอไม่กี่วันมานี้ หูน้อยๆ ของพวกเจ้าไม่เคยว่างเว้นสักชั่วขณะเลยใช่หรือไม่”
เด็กทั้งสองไม่กล้าพูดสักคำ ศิษย์พี่ยังโกรธพวกเขาไม่หาย หากยังพูดมากต่อไปอีกเกรงว่าจะต้องโดนเพิ่มโทษเท่าหนึ่งแน่
“เมื่อครู่พูดจู้จี้จุกจิกไม่ยอมหยุดปาก พอถึงเวลาต้องพูดกลับใบ้กินอีก ได้ยินอะไรกันมา เล่าให้ข้าฟังสิ”
เจวี๋ยเซิ่งสีหน้าสดชื่นขึ้นมา “ศิษย์พี่ ครั้งก่อนตอนข้าฟังเจวี่ยนเอ๋อร์หลีเล่าเรื่อง ก่อนเถ้าแก่ร้านผ้าไหมจะตายก็ล้มป่วยมาหลายเดือนแล้ว ในคืนที่เขาจากไปมีหมอหลายคนเป็นพยานได้ สาเหตุการตายไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย กลับเป็นเถียนฮูหยินหรือชีซื่อผู้นั้น นิสัยใจคอดุร้ายละโมบโลภมากมาตลอด ต่อให้สามีจะป่วยตายไปก็ไม่มีทางคิดสั้นฆ่าตัวตาย แต่ภายหลังขุนนางฝ่ายกฎหมายของอำเภอมาตรวจสอบอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่พบอะไร”
ชี่จื้อก็เอ่ยด้วยเสียงอ่อนลง “ยังได้ยินว่าเถ้าแก่เถียนผู้นี้หวาดกลัวภรรยายิ่งนัก ทั้งที่รู้ว่าอนุภรรยาโดนฮูหยินบีบให้ฆ่าตัวตาย ก็ยังไม่กล้าโวยวายอาละวาด ต่อมาเถียนอวิ่นเต๋อก็ตกใจจนล้มป่วยเพราะเรื่องนี้ เอาแต่พูดว่าเห็นเงาผีอนุภรรยาเดินวนเวียนอยู่ในลานกว้าง”
ลิ่นเฉิงโย่วจดจ่ออยู่กับการจับพู่กันเขียนลงบนกระดาษ