ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35
‘เถียนอวิ่นเต๋อ ตายตอนอายุสี่สิบปี เป็นชาวจางชิว บรรพบุรุษค้าขายเลี้ยงชีพ เนื่องจากดูแลทรัพย์สินล้มเหลว ฐานะครอบครัวขัดสน ปีติงเหม่าที่เหอหนานประสบภัยอดอยาก จึงอพยพครอบครัวมาฉางอัน ชีซื่อผู้เป็นภรรยาเพื่อหาเงินประทังชีวิตจึงนำสินเจ้าสาวไปจำนองมากมาย เถียนอวิ่นเต๋อใช้เงินทุนก้อนนี้ไปซื้อผ้าไหมแพรพรรณ ด้วยเหตุนี้จึงตั้งตัวทำอาชีพค้าขายผ้าไหม’
‘ชีซื่อ ตายตอนอายุสี่สิบเอ็ด เป็นชาวจางชิว ปีติงเหม่าติดตามสามีมาฉางอัน’
เจวี๋ยเซิ่งเอ่ยว่า “ปีติงเหม่า? นี่ไม่เท่ากับว่ามาฉางอันเมื่อสิบปีก่อนหรือ ข้าได้ยินเอ้อต้าเหนียงเล่าว่า ร้านผ้าไหมไฉ่ป๋อนี้ขายแต่ผ้าไหมแพรพรรณชั้นเลิศ หลายปีที่ผ่านมากิจการคึกคักรุ่งเรือง เมื่อเอ่ยถึงร้านขายผ้าไหมในฉางอัน ทุกคนต่างแนะนำร้านของเถ้าแก่เถียนเป็นอันดับแรก ข้ายังนึกว่าเถ้าแก่เถียนมีทรัพย์สินเก็บสะสมไว้ถึงได้เปิดกิจการใหญ่โต ไม่คิดว่าเมื่อสิบปีก่อนเขาเพิ่งจะสร้างฐานะ ศิษย์พี่ นี่เรียกว่าสร้างตัวจากสองมือเปล่ากระมัง”
ด้านชี่จื้อกลับส่ายหน้า “ไม่นับหรอกนะ หากไม่ใช่เพราะเถียนฮูหยินยอมขายสินเจ้าสาว เถียนอวิ่นเต๋อก็คงไม่มีทุนรอนทำการค้า มิน่าเล่าเขาถึงกลัวภรรยาปานนั้น”
พวกเขาพูดคุยกันไปพลางเหลียวมองรอบข้างด้วยความสนอกสนใจ หอสูงแห่งนี้แม้จะกลายเป็นหอคณิกาไปแล้ว แต่เครื่องเรือนตกแต่งส่วนใหญ่หลงเหลือมาจากร้านผ้าไหมไฉ่ป๋อ เพียงแค่มองดูศาลา เรือนที่พัก ห้องหับ และรั้วกั้นระเบียงทางเดิน ก่อนหน้านี้จะเห็นความประณีตพิถีพิถันไปทุกส่วน ช่วงเวลาอันสั้นแค่สิบปีสามารถสร้างให้หรูหราโอ่อ่าถึงขั้นนี้ได้ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว น่าเสียดายสองสามีภรรยาบทจะตายก็ด่วนตายจากไปรวดเร็วนัก ทรัพย์สินมากมายมหาศาลจึงกระจัดกระจายหายไปหมดสิ้นในคืนเดียว
ลิ่นเฉิงโย่วปล่อยให้พวกเขาสองคนบ่นพึมพำ ส่วนตนเองหันมาจับพู่กันจดบันทึกเกี่ยวกับบ้านเกิดของคนที่สาม
‘หรงซื่อ เป็นชาวเยวี่ยโจว มารดาเป็นหญิงทอผ้าในเยวี่ยโจว บิดาไม่ทราบแน่ชัด ปีอิ๋นปิ่งเถียนอวิ่นเต๋อไปซื้อผ้าไหมที่เยวี่ยโจว ได้มอบทองคำให้จำนวนมากเพื่อซื้อตัวหรงซื่อมาเป็นอนุภรรยา เดือนหกปีเดียวกันหรงซื่อติดตามเถียนอวิ่นเต๋อกลับฉางอัน เดือนสิบกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตาย จบชีวิตลงเมื่ออายุสิบหกปี’
ชี่จื้อเอ่ยปากอย่างอดไม่อยู่ “ที่แท้อนุภรรยาผู้นั้นแซ่หรง จะว่าไปแล้วก็เป็นคนน่าสงสาร แต่งเข้ามาไม่ถึงสี่เดือนก็กระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตายแล้ว จริงสิ ชิงจือบอกว่านางกับหรงซื่อเป็นคนบ้านเดียวกัน หรือว่าชิงจือก็เป็นชาวเยวี่ยโจว”
เจวี๋ยเซิ่งกวาดสายตาตรวจสอบบนโต๊ะข้าง ไม่นานก็ตามหาชื่อของชิงจือจนพบ “ไม่ถูกสิ ไม่ถูก ชิงจือเป็นชาวสิงหยาง น่าแปลกจริง เพราะเหตุใดนางถึงบอกว่าตนเองกับหรงซื่อเป็นคนบ้านเดียวกัน พลั้งเผลอจำผิดไปหรือว่าจงใจโกหกกันแน่”
ชี่จื้อตะลึงงันไปชั่วขณะ สีหน้าเริ่มแปลกพิกลขึ้นมา “ไม่ว่านางจะโกหกหรือไม่ เจวี๋ยเซิ่ง เจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกๆ บ้างหรือ ชิงจือเพิ่งจะมาหลังหอไฉ่เฟิ่งเปิดกิจการแล้ว ตอนนั้นหรงซื่อกระโดดบ่อน้ำไปเกือบหนึ่งปีแล้ว พวกนางสองคนไม่เคยไปมาหาสู่กัน นางจะเคยเห็นหรงซื่อได้อย่างไร”
เจวี๋ยเซิ่งเอียงศีรษะครุ่นคิด “เรื่องนี้ก็ไม่เห็นแปลก อย่าลืมสิว่าชิงจือติดตามว่อต้าเหนียงมาตั้งแต่เล็ก ว่อต้าเหนียงเป็นถึงแม่เล้าที่มีประสบการณ์โชกโชนที่สุดในผิงคังฟาง ชิงจือมักเดินเตร็ดเตร่อยู่ในย่านนี้ ต้องเดินผ่านร้านผ้าไหมไฉ่ป๋ออย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว บางทีชิงจือคงเคยพบกับหรงซื่อมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วดีดกระดาษจดบันทึก “พูดจ้อพอได้หรือยัง หันหน้าไปดูกาน้ำหยด* นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อทำเดินอิดออดถ่วงเวลาไปจนถึงประตู พลันคิดถึงแม่นางเก๋อจินที่โวยวายหาเรื่องเพราะไม่ยอมอยู่ร่วมห้องกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีขึ้นมาได้ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่ พวกเราอยากถามมานานแล้ว ครั้งก่อนตอนมาหอไฉ่เฟิ่งบาดแผลบนใบหน้าแม่นางเก๋อจินยังดูสดใหม่ เป็นฝีมือคนหรือว่าวิญญาณอาฆาตทำร้าย มองปราดเดียวก็ดูออกแล้ว ทั้งที่แม่นางเก๋อจินโดนคนทำร้าย เพราะเหตุใดศิษย์พี่ถึงบอกว่าเป็นฝีมือวิญญาณอาฆาตข่วนหน้ากัน”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยยิ้มๆ “ดีมาก นับว่าพอมีความก้าวหน้า รู้แก่ใจว่าข้าจงใจพูดออกไปผิดๆ กลับไม่ผลีผลามหลุดปากพูดออกมา ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าลองว่ามาซิ เพราะเหตุใดข้าถึงต้องทำเช่นนั้น”
เจวี๋ยเซิ่งดวงตาพลันสว่างวาบ “ศิษย์พี่กลัวว่าพูดความจริงออกไปจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกระมัง ศิษย์พี่ ท่านรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนทำร้ายแม่นางเก๋อจิน ข้าคาดเดาว่าต้องเป็นใครสักคนในบรรดาดาวเด่นทั้งสิบเหล่านั้น เพราะว่าริษยาชิงชังแม่นางเก๋อจินที่มาแย่งชิงความโดดเด่นไปเสียทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นถึงได้ทำให้นางเสียโฉม”
ชี่จื้อเอ่ยขึ้นต่อ “แต่คืนนี้บ่าวรับใช้ผู้นั้นบอกว่าตอนแม่นางเก๋อจินเกิดเรื่องเถ้าแก่เฮ่อเคยตรวจสอบไปแล้ว ดาวเด่นทั้งสิบคนล้วนไม่อยู่ในเรือนหลัง”
“ไม่ใช่ว่ายังมีสาวใช้ประจำตัวหรือบ่าวหญิงอาวุโสหรือไร ตนเองไม่อยู่ในที่เกิดเหตุอาจบงการให้บ่าวไพร่ระดับล่างลงมือก็ได้ ข้ายังรู้สึกว่าแม่นางเว่ยจื่อกับแม่นางเหยาหวงน่าสงสัยที่สุด ถึงอย่างไรบ่าวรับใช้ในหอก็เคยบอกไว้แล้ว ดาวเด่นคนอื่นถึงจะมีความสามารถยอดเยี่ยม กลับไม่มีหวังจะได้เป็นยอดบุปผา แต่แม่นางเว่ยจื่อกับแม่นางเหยาหวงสองคนนี้ขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะถูกกำหนดชื่อแล้ว ศิษย์พี่ ข้าคาดเดาถูกหรือไม่ขอรับ”
ลิ่นเฉิงโย่วไม่ออกความคิดเห็นใดๆ
เจวี๋ยเซิ่งจึงถือว่าตนเองคาดเดาถูกแล้ว ตบหน้าอกดังปั้กอย่างตื่นเต้นยินดี “ให้ข้าคิดดูก่อน ตอนพวกเราช่วยแม่นางเก๋อจินมาจากคุณชายเสื้อทองคำก็เคยเห็นเครื่องเรือนตกแต่งในห้องนางมาหมดแล้ว ภายในห้องยกเว้นหน้าต่างบานนั้นที่อยู่ข้างเตียงนอนก็มีแค่ประตูห้องแล้ว ตอนเกิดเรื่องคืนนั้นแม่นางเก๋อจินเข้านอนไปนานแล้ว ‘วิญญาณอาฆาต’ วิ่งปรี่ตรงมาที่เตียงข่วนหน้านางจนเหวอะหวะ หากเป็นคนปลอมตัวมาจริงจะแฝงตัวเข้ามาในห้องได้อย่างไรเล่า”
ลิ่นเฉิงโย่วปรบมือเปาะแปะ “มีความก้าวหน้า พวกเจ้าลองคิดให้ดีๆ พิจารณาจากเงื่อนไขในคืนนั้นว่า ‘ผี’ ตนนั้นจะลอบเข้าห้องแม่นางเก๋อจินมาได้อย่างไร”
“หรือว่านางจะงัดกลอนประตู แต่บริเวณข้างเคียงก็มีแม่นางคนอื่นพักอาศัยอยู่ ต่อให้ไม่กลัวว่าแม่นางเก๋อจินจะได้ยินเสียง ก็อาจโดนคนแถวระเบียงทางเดินพบเห็นก็ได้นะ”
ชี่จื้อใบหน้าเปล่งประกายเจิดเจ้า “หรือว่าจะปีนเข้าไปทางหน้าต่าง” ก่อนจะก้มหน้าคอตกทันใด “ไม่ถูกสิ น้ำในสระรอบศาลาริมน้ำไม่ลึกก็จริง แต่ในสวนมีคนเดินขวักไขว่ไปมา ปีนหน้าต่างเข้ามากลางดึกอาจมีคนพบเห็นได้ทุกเมื่อ”
เจวี๋ยเซิ่งเดินวนไปทั่วห้องสองรอบ ห้องนี้มีผังแบบไม่ต่างจากห้องแม่นางเก๋อจินเท่าใด เพียงเล็กกว่าสักเล็กน้อย เขาชี้ไปทางประตูด้วยความสับสน “หรือว่านางจะซ่อนกุญแจห้องของแม่นางเก๋อจินเอาไว้ล่วงหน้า แต่จากหน้าประตูเดินมาถึงข้างเตียงก็มีระยะทางยาวช่วงหนึ่งเลยนะ นางไม่กลัวแม่นางเก๋อจินจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากะทันหันหรือ พออีกฝ่ายกรีดร้องลั่น ไม่รอให้นางข่วนหน้าแม่นางเก๋อจินก็มีคนบุกเข้ามาแล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วทางหนึ่งหยิบพู่กันจุ่มหมึก ทางหนึ่งเอ่ยเตือนสติพวกเขา “พวกเจ้าเพิ่งบอกว่าในห้องเก๋อจินมีของอะไรบ้างนะ”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อมึนงงไปประเดี๋ยวหนึ่ง “หน้าต่างหนึ่งบาน เตียง ประตู อ้อ ใช่แล้ว ยังมีโต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะข้าง ตั่งเตี้ย เบาะที่นอน ฉากบังลม”
ดวงตาของเด็กทั้งสองเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ ประสานเสียงพร้อมกันอย่างคาดไม่ถึง “เตียง?! ตอนนั้นคนร้ายซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงแม่นางเก๋อจินกระมัง”
ลิ่นเฉิงโย่วส่งเสียงอุทานเบาๆ ลูบใบหูแล้วเอ่ยว่า “ต่อให้คาดเดาถูก ก็ไม่เห็นต้องตื่นเต้นกันถึงเพียงนี้”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อกอดกันกลมด้วยความดีใจสุดขีด “ถูกจริงๆ หรือ!”
เจวี๋ยเซิ่งเอ่ยขึ้นอีกว่า “แต่เตียงไม่ใช่ว่าใครก็จะมุดเข้าไปได้ แม่นางเว่ยจื่อรูปร่างอวบอิ่ม เวลามุดเข้าไปคงจะลำบากไม่น้อย ตามความเห็นข้าต้องเป็นแม่นางเหยาหวง นางรูปร่างเล็กบอบบาง ต่อให้ซ่อนอยู่ใต้เตียงหนึ่งชั่วยามก็ไม่ถูกใครพบเห็นแน่นอน”
ชี่จื้อเขย่าร่างเจวี๋ยเซิ่ง “เหตุใดเจ้าถึงได้วนกลับมาที่เว่ยจื่อและเหยาหวงไม่เลิก บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าคืนนั้นพวกนางสองคนไม่ได้อยู่ในหอไฉ่เฟิ่งน่ะ”
ลิ่นเฉิงโย่วเหลือบมองกาน้ำหยด “พอเท่านี้ดีหรือไม่ หากพูดต่อไปอีก เดี๋ยวฟ้าคงสางก่อนแน่ อย่ามัวแต่เกียจคร้าน รีบไปทำงานได้แล้ว ตอนออกไปก็อย่าเอะเอะเสียงดัง เดี๋ยวใครเขาจะตำหนิได้ว่านักพรตน้อยอารามชิงอวิ๋นไม่มีมารยาท หากได้ยินพวกเจ้าคุยกัน พรุ่งนี้ต้องคัด ‘คัมภีร์ยันต์พลังอิน’ เพิ่มหนึ่งร้อยจบ”
แม้เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อจะจิตใจว้าวุ่นเพียงใด ก็ต้องเดินออกไปจากห้องนี้แล้ว พอออกมาแล้วถึงได้สติกลับมา ศิษย์พี่ไม่อนุญาตให้พวกเขาคุยกันตรงระเบียงทางเดินเพราะป้องกันไม่ให้พวกเขาไปหาคุณหนูเถิง
พวกเขาสองคนมองไปทางประตูห้องเถิงอวี้อี้ที่ปิดสนิท พรุ่งนี้จะต้องพูดคุยกับนางให้รู้เรื่อง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าศิษย์พี่เจตนาทำ แต่ก็กลัวว่าพูดไปแล้วคุณหนูเถิงจะไม่เชื่อ ถึงอย่างไรนางกับศิษย์พี่ก็เคยทะเลาะกันมาตั้งหลายครั้งแล้ว