ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35
ตอนนี้เถิงอวี้อี้อยู่ในห้องอาบน้ำใหม่อีกรอบแล้ว ก่อนหน้านี้หลังทะเลาะกับลิ่นเฉิงโย่วไปยกนั้นพลังประหลาดในร่างที่พลุ่งพล่านอยู่ตลอดกลับสงบลงในพริบตา นอกจากร่างกายไม่ร้อนผ่าว กลับเย็นสบายปลอดโปร่งเสียด้วย เดิมทีใบหน้ายังคันยุบยิบ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรให้กังวลแล้ว
ดูท่าคืนนี้อาการคงไม่กำเริบซ้ำสอง เถิงอวี้อี้เดินวนไปวนมาในห้อง ก่อนหน้านี้เอาแต่วิ่งห้อตะบึงกระโดดโลดเต้น พอผ่านมาแล้วถึงรู้สึกเหนื่อยล้า พอเห็นว่าตอนนี้เวลาล่วงเลยมามากนางจึงตั้งใจว่าจะนอนหลับสักงีบค่อยว่ากัน
ใครจะรู้ว่านอนหลับไปถึงช่วงกลางดึก ก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะความร้อนอีกแล้ว
เถิงอวี้อี้ลืมตาขึ้นในความมืด สัมผัสได้ว่าแก้มสองข้างคันยุบยิบอย่างประหลาด
คงไม่ได้มีผื่นไอร้อนขึ้นมาแล้วกระมัง
ความง่วงงุนสลายหายไปทันที นางลูบคลำแก้มสองข้างโดยไม่รู้ตัว พอคลำไม่เจออะไรเลยก็รีบหาแท่งจุดไฟมาจุดอย่างร้อนรน แล้วย้ายไปส่องดูตรงคันฉ่องบนโต๊ะเครื่องแป้ง ก็เห็นว่าพวงแก้มเป็นสีแดงเข้มจริงอย่างที่คิดไว้
นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง มิน่าเล่าลิ่นเฉิงโย่วถึงยอมบอกวิธีข่มฤทธิ์ยาให้นางรู้ ลุงเฉิงคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิด เพียงแค่ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยไม่มีทางพอได้ นอกเสียจากว่าจะเร่งฝึกวิชาสักชุดเพื่อข่มฤทธิ์ยาโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นผื่นไอร้อนนี้อาจโผล่ขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
ถ้าไม่อยากให้ผื่นไอร้อนขึ้นมาแม้แต่เม็ดเดียว เช่นนั้นก็ต้องฝึกวิชาประเดี๋ยวนี้เท่านั้นแล้ว แต่จะเรียนอย่างไร เรียนเมื่อใด ขึ้นอยู่กับลุงเฉิงซึ่งจะช่วยตัดสินใจแทนนาง
นางสบถด่าลิ่นเฉิงโย่วในใจพลางมองกระดิ่งเสวียนอิน แน่ใจแล้วว่านอกประตูไม่มีสิ่งชั่วร้ายอยู่จึงค่อยๆ เคาะผนังห้องข้างเคียง “ลุงเฉิง”
“ขอรับ” สักพักที่ด้านนอกก็มีคนส่งเสียงเรียกแผ่วเบาพร้อมเคาะประตู
เถิงอวี้อี้แต่งกายและสวมหมวกผ้าเรียบร้อย ก็ดึงประตูเปิดแล้วลดเสียงลงเอ่ยว่า “ยามใดแล้ว”
“ยามจื่อแล้วขอรับ”
“ฤทธิ์ยากำเริบขึ้นมาอีกแล้ว คงรอถึงพรุ่งนี้เช้าไม่ไหว เรียนข้ามคืนไปเลยดีกว่า”
ตอนแรกลุงเฉิงตั้งใจว่าจะให้ฮั่วชิวไปส่งจดหมายถึงเถิงเซ่า ไม่คาดคิดว่าเถิงอวี้อี้จะเป็นฝ่ายเสนอว่าจะเรียนวิชาด้วยตนเอง
เขารู้สึกยินดีระคนกลัดกลุ้ม ที่ผ่านมานายท่านเฝ้ารอให้คุณหนูเรียนรู้กระบวนท่าป้องกันตนเองบางส่วน ทว่าจนใจที่คุณหนูเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมเรียน เหตุการณ์ในคืนนี้ก็นับว่าได้ลาภเพราะทุกข์แล้ว
เขากับฮั่วชิวต่างถือกำเนิดในค่ายทหาร การฝึกวรยุทธ์จึงเรียนรู้แนวทางที่ทรงพลังดุดัน คนหนึ่งชำนาญเพลงหมัด คนหนึ่งชำนาญเพลงดาบ กระบวนท่าที่ใช้งานบ่อยครั้งเหล่านั้นจำเป็นต้องมีกำลังภายในแข็งแกร่งค้ำจุนไว้ คุณหนูไม่มีพื้นฐานเลยแม้แต่น้อย ต่อให้สั่งสอนไปเป็นปีก็ไม่แน่ว่าจะใช้ได้คล่องมือ หลังปรึกษาหารือกันพักหนึ่งลุงเฉิงก็ตัดสินใจจะเริ่มสอนจากเพลงหมัดสกุลเฉิงขั้นพื้นฐานแรกสุด
เถิงอวี้อี้กลับลังเลเล็กน้อย “ไม่มีเพลงกระบี่เรียบง่ายบ้างหรือ ข้าใช้กระบี่เสี่ยวหยาจนคุ้นชินแล้ว ต่อไปเวลาใช้กระบี่เสี่ยวหยาป้องกันตัว รู้เพลงกระบี่เอาไว้ยังดีกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเพียงเพลงกระบี่พิชิตภัยแล้ว” ลุงเฉิงชักกริชเล่มหนึ่งออกมา ตวัดท่าร่างหนึ่งในอากาศ “เรียกว่าเพลงกระบี่ ความจริงก็สามารถใช้กับกริชหรือดาบสั้นได้เช่นกัน มีเพียงสิบกระบวนท่า ยืดหยุ่นยากจะเดาทิศทาง อีกทั้งเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ในห้องไม่กว้างขวางพอ ตามข้าน้อยออกไปในสวนเถอะ”
นายบ่าวสามคนกลัวว่าจะรบกวนคนข้างเคียง จึงเดินย่องออกมาจากห้องอย่างระมัดระวัง
ยามค่ำมืดดึกดื่น บริเวณใกล้เคียงเงียบสงัด ผู้คนในหอไฉ่เฟิ่งทั้งบนล่างล้วนเข้านอนกันหมดแล้ว พวกเขาเดินด้วยฝีเท้าเบาหวิวมาถึงในสวน เพ่งมองไปไกลๆ เห็นว่าข้างหน้ามีต้นไหวใบดกรกครึ้มต้นหนึ่ง ลุงเฉิงกับฮั่วชิวเดินเข้าไปใกล้ กลั้นลมหายใจมองสำรวจอย่างรอบคอบ ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ จึงกล่าวกับเถิงอวี้อี้ว่า “คุณหนู มาฝึกที่ใต้ต้นไม้เถอะขอรับ”
เถิงอวี้อี้ยกมือขึ้นจัดหมวกผ้าให้เข้าที่ แล้วตลบชายเสื้อคลุมขึ้นมายัดเข้าข้างเอว ประเดี๋ยวจะต้องฝึกวิชาอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่นึกเลยว่านางจะรู้สึกประหม่าขึ้นมาได้
“เริ่มเลยเถอะ”
ลุงเฉิงพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ พอยกมือซ้ายไพล่หลังเอว มือขวาก็ผลักไปข้างหน้าดุจมังกรทะยาน “คุณหนูดูให้ละเอียดนะขอรับ”
ฮั่วชิวเข้าใจกฎเกณฑ์เป็นอย่างดี ไม่คิดเหลือบมองวิชากระบี่ของลุงเฉิง แต่หันหน้ากลับไปเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวโดยรอบแทน
เถิงอวี้อี้เห็นกระบวนท่านั้นธรรมดาสามัญ จึงนึกไปว่าคงเรียบง่ายไม่มีอะไรยากเย็น รอจนลุงเฉิงแสดงให้เห็นครบสิบกระบวนท่านางก็คิดทบทวนในใจเงียบๆ รอบหนึ่ง แต่ละกระบวนท่าของลุงเฉิงเคลื่อนไหวเชื่องช้า เมื่อผ่านพ้นจะแสดงให้เห็นชัดเจนตรงหน้า นางชักกระบี่เสี่ยวหยาออกมา ออกท่าทางเลียนแบบตามนั้นบ้าง
ไม่คาดคิดว่าเพิ่งกระบวนท่าที่สามก็แทบทนไม่ไหวแล้ว กระดูกราวกับจะแตกร้าวแยกออกจากกัน เหงื่อร้อนรุ่มทั่วร่างแปรเปลี่ยนเป็นหลั่งเหงื่อเย็นเยียบด้วยความเจ็บปวด
“ข้าว่าไม่จำเป็นต้องเรียนยากถึงเพียงนี้ก็ได้” นางแสร้งวางมาดผ่อนคลาย นวดคลึงหัวไหล่พลางเอ่ยว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเรียนฝึกวรยุทธ์ เหมาะจะเริ่มต้นจากกระบวนท่าเรียบง่ายที่สุด วิชากระบี่นี้แปลกเกินไป เปลี่ยนเป็นชุดวิชาอื่นที่ง่ายดายเหมาะมือกว่านี้เถอะ”
ลุงเฉิงคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องคิดบิดพลิ้ว เมื่อครั้งยังเด็กก็เป็นเช่นนี้ เติบใหญ่แล้วยิ่งไหลลื่นกว่าเดิม ใครก็ไม่อาจทำอะไรนางได้
“นี่เป็นเพลงกระบี่ที่เรียบง่ายที่สุดแล้วขอรับ” เขาตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มีเพียงสิบกระบวนท่า ไม่จำเป็นต้องกระโดดโจนทะยาน มิหนำซ้ำยังเป็นกระบวนท่าสำหรับการต่อสู้ประชิดตัว ภายในสามวันจึงจะมีหวังโคจรพลังปราณแท้ให้คล่องตัวได้ หากเปลี่ยนเป็นวิชากระบี่อื่น เกือบทั้งหมดล้วนต้องมีวิชาตัวเบาเป็นพื้นฐาน คิดจะฝึกให้เป็นเรื่องเป็นราวอย่างน้อยต้องใช้เวลาครึ่งปี”
เถิงอวี้อี้ร้องอุทานคำหนึ่ง หากรอให้ผ่านไปครึ่งปีจริงใบหน้านางคงทิ้งรอยแผลเป็นจากผื่นไอร้อนเป็นลายพร้อยไปแล้ว นางยกแขนขึ้นมาอย่างอับจนหนทาง ลองออกท่าทางใหม่อีกครั้ง
ลุงเฉิงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะอาศัยโอกาสนี้ช่วยสอนวิชาพื้นฐานแก่เถิงอวี้อี้ให้จงได้ ฉะนั้นเขาจึงเข้มงวดมากเป็นพิเศษ
“ไหล่ต้องเสมอกัน เอวต้องมั่นคง เช่นนี้ไม่ถูก ข้าน้อยจะแสดงให้ท่านดูอีกรอบ”
“รอประเดี๋ยว รอประเดี๋ยวนะ” เถิงอวี้อี้ฝืนเค้นรอยยิ้มออกมาบางๆ “ลุงเฉิง แขนต้องยกสูงปานนี้เลยหรือ เสมออกแล้วแทงออกไปก็ทำได้สำเร็จเช่นกันถูกหรือไม่ เอวไม่เห็นต้องย่อลงต่ำเช่นนี้เลยก็ได้กระมัง ทั้งที่ยืนตัวตรงก็เตะออกไปได้แท้ๆ”
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะเบาๆ อยู่บนยอดไม้ เถิงอวี้อี้หวาดผวาขนลุกชัน เงยหน้าขึ้นมองอย่างห้ามไม่อยู่
ลุงเฉิงกับฮั่วชิวรีบทะยานร่างขึ้นไปข้างบน พร้อมชักดาบออกมาและตะคอกเสียงดัง “ใครอยู่บนต้นไม้!”
ใบไม้กระพือสั่นไหวเสียงดังสวบสาบ คนบนต้นไม้ดูเหมือนกำลังบิดขี้เกียจ “วันนี้นับว่าข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ที่แท้เรียนวิชาก็ต่อรองตามความพอใจได้ด้วย”
ลิ่นเฉิงโย่ว?!