ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35
เถิงอวี้อี้ตกตะลึงไม่น้อย ลุงเฉิงกับฮั่วชิววรยุทธ์ไม่อ่อนด้อย ลิ่นเฉิงโย่วซุ่มซ่อนอยู่บนต้นไม้นานเพียงนี้พวกเขาสองคนกลับไม่รู้สึกตัวเลย นี่ไม่ใช่สิ่งที่กำลังภายในสามารถทำได้ นอกเสียจากว่าลิ่นเฉิงโย่วใช้วิชาลับลัทธิเต๋าวางค่ายกลไว้บนต้นไม้ล่วงหน้าอะไรทำนองนั้น
ลุงเฉิงกับฮั่วชิวก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย พวกเขาเก็บดาบแล้วกระโดดไปถึงบนยอดไม้ มั่นใจว่าเป็นลิ่นเฉิงโย่วอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงได้เอ่ยถามอย่างสงบเยือกเย็น “ซื่อจื่อมาอยู่ตรงนี้นานเพียงใดแล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วเปลี่ยนท่าทางให้สบายกว่าเก่าแล้วเอนพิงต้นไม้ “เดิมทีข้ามางีบหลับอยู่ตรงนี้ ไม่คิดเลยว่ากลางดึกอย่างนี้คุณหนูเถิงจะวิ่งออกมาฝึกวิชา ข้าไม่ได้ตั้งใจจะลักลอบเรียนวิชา แต่ทนกับวาจาหลักแหลมแกมขบขันของคุณหนูเถิงไม่ไหว หากยังฟังต่อไปจะต้องแบกรับความผิดฐาน ‘ลอบเรียนวิชา’ ไปแน่ ก็เลยต้องเตือนพวกเจ้าด้วยความหวังดีสักหน่อย”
เถิงอวี้อี้แค่นเสียงฮึดฮัด “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ทำให้ซื่อจื่อต้องเห็นเรื่องขบขันแล้ว อาศัยวาสนาของซื่อจื่อ ข้าน้อยรอเรียนวิชาวันพรุ่งนี้ไม่ได้แล้ว กลัวว่าจะรบกวนผู้อื่น ตั้งใจมาหามุมเปลี่ยวเงียบฝึกวิชา ไม่คิดว่าซื่อจื่อจะทำตัวเหมือนหัวขโมยซ่อนอยู่บนต้นไม้ พฤติกรรมก็ลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ จะถูกมองเป็นคนร้ายก็ไม่น่าแปลกใจ ข้าน้อยกดข่มพลังประหลาดในร่างไม่ได้ ต่อจากนี้ยังต้องฝึกฝนร่างกาย ขอเชิญซื่อจื่อย้ายไปที่อื่น ประเดี๋ยวจะไม่สะดวกใจกันทั้งสองฝ่าย”
ลิ่นเฉิงโย่วสงบมั่นคงดั่งขุนเขา “คุณหนูเถิงพูดล้อเล่นเก่งจริงเชียว ปกติดูกันที่ลำดับใครมาก่อนหลัง ข้ามาก่อน พวกเจ้ามาทีหลัง ต่อให้ต้องมีคนไป ก็ควรเป็นพวกเจ้าที่ไป”
เถิงอวี้อี้เหลียวซ้ายแลขวา ลิ่นเฉิงโย่วไม่มีทางอยู่ว่างๆ ก็เลยวิ่งออกมารับลมเย็นแน่ เขาเล่นลูกไม้กับพื้นที่รอบต้นไม้ไว้ล่วงหน้า จะต้องมีเหตุผลบางอย่าง ในเมื่อเขาไม่ยอมไป นางก็ไม่มีเหตุผลจะต้องสละพื้นที่ให้เขาเช่นกัน ไม่สู้ถือว่าคนผู้นี้ไม่มีตัวตน พอฝึกเสร็จก็จะไปแล้ว นางข่มกลั้นโทสะแล้วปรายตามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นจึงจัดท่าทางเตรียมพร้อม “ลุงเฉิง พวกเรามาฝึกกันต่อเถอะ”
ลุงเฉิงกลับลงสู่พื้นดิน เพลงกระบี่พิชิตภัยเป็นวิชากระบี่พื้นฐานแรกเริ่มที่สุดแล้ว ดูจากวรยุทธ์ของเฉิงอ๋องซื่อจื่อไม่มีทางมาลอบเรียนวิชาเป็นแน่ สวนมีอาณาบริเวณกว้างขวางปานนี้ จะให้หาพื้นที่ตรงอื่นฝึกวิชาก็ยุ่งยาก หากต้องเดินวนหาให้วุ่นวายจริง ไม่แน่ว่าคุณหนูอาจฉวยโอกาสไม่ฝึกแล้วก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงตวัดท่าร่างกระบี่อีกครั้ง ยกเท้าซ้ายขึ้นมา แขนขวาจ้วงแทง “ครั้งนี้คุณหนูดูให้ดีนะขอรับ สาเหตุที่คุณหนูปวดกระดูกเป็นเพราะไม่ได้ฝึกเบิกทางชีพจร ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งผิดพลาดไม่ได้เลย เพราะความผิดพลาดเล็กน้อยอาจทำให้เสียหายไปหมดได้ ทุกกระบวนท่าไม่อาจฝึกอย่างฉาบฉวย รอจนกระทั่งเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ก็จะไม่ทรมานเช่นนี้อีกแล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วหลับตาทำสมาธิอยู่บนต้นไม้ ข้างหูกลับมีแต่เสียงกวัดแกว่งกระบี่ดังอื้ออึง เดิมทีไม่อยากจะฟัง แต่จนใจที่อยู่ใกล้กันเกินไป
เมื่อครู่เห็นนางวิ่งตรงมาทำให้เขาตกใจอย่างแท้จริง ตามความคิดของเขา เถิงอวี้อี้น่าจะยอมให้ผื่นไอร้อนขึ้นตามตัว แต่จะไม่มีทางเรียนวิชา ถึงอย่างไรผื่นไอร้อนเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว การฝึกวิชากลับมีความยากลำบากไม่สิ้นสุด คาดว่าพอนางกลับถึงห้องไปแล้วไม่ใช่ร้องห่มร้องไห้ก็ต้องเร่งส่งจดหมายข้ามคืนไปหาเถิงเซ่าให้ช่วยคิดหาวิธี จะรู้ได้อย่างไรว่านางกลับตัดสินใจเด็ดขาด บอกว่าจะเรียนก็เรียนอย่างนี้
ผลปรากฏว่าผ่านไปไม่นานนักนางก็เริ่มโวยวายไม่มีเหตุผล ดึงดันจะรื้อเปลี่ยนวิชากระบี่ดีๆ ให้เป็นวิชาที่ท่างดงามแต่ไร้ประโยชน์ เขาคิดอย่างเย้ยหยัน นี่สิถึงจะถูกต้อง เถิงอวี้อี้นิสัยเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก เผชิญหน้ากับปัญหาชอบเดินทางลัดเสมอ ทว่าสำหรับการเรียนวิชาเช่นนี้ไม่มีทางลัดให้เดินอย่างแน่นอน
เขาแสยะยิ้มชั่วร้าย หากภายในสามวันไม่อาจโคจรพลังปราณแท้ในร่างให้คล่องตัว ก็ไม่มีทางข่มฤทธิ์ยาในน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงได้ เมื่อไม่อาจข่มฤทธิ์ยาในน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงได้ ผื่นไอร้อนก็จะผุดขึ้นมารวดเร็วปานหน่อไม้หลังฝนตกในฤดูใบไม้ผลิ
พอคิดเช่นนี้แล้วเขาก็ก้มหน้ามองลงไปด้านล่าง เถิงอวี้อี้สองแขนเหยียดตรง ขาซ้ายยื่นไปด้านหลังแล้วยกขึ้นสูง เป็นกระบวนท่ากระเรียนขาวสยายปีก
หาได้ยากที่หัวไหล่ก็เสมอกัน ขาก็ลอยสูง ถึงกับออกท่าทางได้เหมือนต้นแบบแล้ว
เขาประหลาดใจไม่น้อย ไม่คิดว่านางจะตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง
เมื่อมองไปที่ใบหน้าเถิงอวี้อี้จะเห็นมุมปากเม้มเน้น หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าอดทนอดกลั้นถึงขีดสุดแล้ว
เขามองด้วยแววตาแฝงความหมายลึกซึ้ง น่าสนใจไม่เบา ดูท่าเถิงอวี้อี้จะอยากเรียนวิชาจริงๆ ไม่ว่านางจะถึงวัยปักปิ่นแล้วหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ร่างกายของเด็กน้อยแล้ว เรียนวรยุทธ์ตอนอายุเท่านี้ยากเย็นกว่าตอนยังเล็กๆ เป็นร้อยเท่า หากต้องการเรียนรู้กระบวนท่าให้ถูกต้อง เส้นเอ็นและกระดูกทั่วร่างจะต้องยืดออกใหม่อีกครั้ง สมกับคำกล่าวที่ว่า ‘ยอมลำบากเพียงเล็กน้อย เพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่กว่า’
พอความคิดผุดขึ้นมา เขาก็รู้สึกว่าตนเองมองนางไม่ออกเสียแล้ว
นับตั้งแต่เขากับนางรู้จักกันมา นางไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเพียงครั้งเดียว แม้กระทั่งเด็กน้อยยังคิดหลอกใช้ คนผู้นี้จะมีนิสัยเที่ยงตรงได้หรือ แต่หลายวันมานี้เห็นท่าทีที่นางมีต่อเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเสแสร้งแกล้งทำไปเสียหมด ความห่วงใยและการปกป้องโดยไม่รู้ตัวนั้นไม่คล้ายการเสแสร้งออกมาเลย
ช่วงบ่ายตอนเขาเรียกตัวหญิงคณิกาสองคนนั้น ตอนแรกนึกว่านางจะนิ่งดูดาย แต่กลับเป็นฝ่ายวิ่งมาต่อรองกับเขาด้วยตนเองเพื่อปกป้องหญิงคณิกาสองคนนั้น หญิงคณิกาสองคนนี้ฐานะต่ำต้อย คิดดูก็รู้ว่าไม่มีอะไรให้นางใช้ประโยชน์ได้ สาเหตุที่นางทำเช่นนี้เพียงเพราะกลัวว่าพวกนางทั้งสองมาอยู่ในกำมือเขาแล้วจะต้องเสียเปรียบ
จากที่เคยรู้สึกว่านางเลวร้าย บางครั้งกลับรู้สึกว่าเนื้อแท้ของนางเป็นคนยึดมั่นในคุณธรรมน้ำใจ
จากที่เคยคิดว่านางต้องไม่ยอมลำบาก จะรู้ได้อย่างไรว่านางบอกจะฝึกวรยุทธ์ก็ฝึก
เขานอนคิดทบทวนซ้ำอยู่บนต้นไม้ เถิงอวี้อี้ที่อยู่ใต้ต้นไม้ก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ
นางอดทนมาถึงขีดสุดอย่างแท้จริงแล้ว ร่างกายเริ่มโงนเงนซวนเซ หูได้ยินเสียงกระดูกเคลื่อนย้ายตำแหน่งเบาๆ เหงื่อร้อนผ่าวไหลรินลงมาไม่ขาดสาย แพขนตามีหยดน้ำเกาะพราวเป็นชั้น
นางกัดฟันกรอดเอ่ยว่า “จะต้องทนอีกนานเพียงใดกัน”
ลุงเฉิงพยักหน้าอย่างพอใจ “กระบวนท่านี้ถูกต้องแล้ว อดทนกำหนดลมหายใจต่ออีกสักหน่อยก็พอขอรับ”
กำหนดลมหายใจ?
เถิงอวี้อี้วิงเวียนตาลาย จิตใจว้าวุ่น นี่เพิ่งจะกระบวนท่าเดียว แล้วสิบกระบวนท่าจะเป็นเช่นไร จะไม่เรียนแล้วได้หรือไม่ ผื่นไอร้อนจะขึ้นก็ขึ้นมาเถอะ น่าเสียดายไม่มีทางถอยแล้ว การปรากฏตัวของลิ่นเฉิงโย่วช่วยเตือนสตินาง หากไม่มีทักษะการป้องกันตัวไว้บ้างมีแต่จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกทาง ในชาติก่อนยามประสบเคราะห์กรรม แม้แต่ตวนฝูยังปกป้องนางไว้ไม่ได้ กว่าจะฟื้นคืนชีพมาไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ซ้ำรอยเดิม
พิชิตภัย…พิชิตภัย เมื่อพบ ‘ภัย’ จึงพิชิต นี่เป็นชื่อที่ดีมากทีเดียว ชาตินี้ในเมื่อต้องเพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ หลายอย่าง ก็เริ่มต้นจากเพลงกระบี่พิชิตภัยชุดนี้แล้วกัน
นางกัดฟันแน่น พยายามรักษากระบวนท่าไว้ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดสมองพลันรู้สึกมึนงงขึ้นมา แต่ลุงเฉิงกลับไม่ยอมเอ่ยปากสักที ทุกครั้งจะบอกว่า ‘กำหนดลมหายใจ กำหนดลมหายใจก็พอ’
จะว่าไปแล้วก็แปลกนัก ทุกครั้งยามเถิงอวี้อี้รู้สึกว่าตนเองใกล้จะสำเร็จเซียนเหาะเหินขึ้นสวรรค์ ความเจ็บปวดในร่างกายคล้ายจะปรับเปลี่ยนไปเอง จาก ‘เจ็บปวด’ กลายเป็น ‘ขยายตัว’ ค่อยๆ มีความรู้สึก ‘โปร่งโล่ง’
ตอนนี้พลังประหลาดที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างดั่งแม่น้ำร้อยสายไหลลงสู่ทะเล ไหลทะลักพร้อมกันไปสู่ตำแหน่งนั้น น่าเสียดายเหมือนจะยังขาดกำลังไฟแผดเผาได้ที่ จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีความรู้สึกว่าเปิดทางให้สายน้ำไหลบ่าออกไปได้
พอคิดว่าหากยังฝึกต่อไปวิญญาณคงหลุดออกจากร่างแล้วนางก็ได้ยินลุงเฉิงเอ่ยว่า “พอแล้ว”
เถิงอวี้อี้หอบหายใจเฮือกใหญ่ ปล่อยแขนปล่อยขาลงอย่างหมดแรง ครั้งนี้กระดูกแขนขาสี่ข้างเบาสบายอย่างที่สุด สาสมใจยิ่งกว่าเมื่อตอนออกกระบวนท่าเมื่อครู่เสียด้วยซ้ำ
ลุงเฉิงกล่าวขึ้นด้วยความยินดี “ไม่เลว คุณหนูเรียนกระบวนท่าต่อไปได้แล้ว”
เถิงอวี้อี้ทำท่าหันกลับไปแล้วจ้วงแทงตามต้นแบบ แขนกลับส่งเสียงลั่นดังกร๊อบแกร๊บ
นางร้องอุทานอย่างเจ็บปวด “รอประเดี๋ยว! รอประเดี๋ยวก่อน ครั้งนี้ไม่ได้แกล้งทำแต่เจ็บจริงๆ”
ลิ่นเฉิงโย่วยังหลับตานอนเอ้อระเหยอยู่บนต้นไม้ ทำตามวิธีฝึกเช่นนี้ของเถิงอวี้อี้ภายในสามวันกลัวว่าไม่มีทางฝึกสำเร็จหรอก เพียงแต่หากรากวิญญาณหยกเพลิงจะข่มฤทธิ์ยากันง่ายดายเช่นนี้ ก็คงเรียกว่า ‘สมบัติล้ำค่าในใต้หล้า’ ไม่ได้แล้ว
เถิงอวี้อี้ปรับท่าทางใหม่ชั่วครู่แล้วค่อยแสดงกระบวนท่าที่สอง ครั้งนี้แขนเคลื่อนไหวได้ดีกว่าเดิมแล้ว ลิ่นเฉิงโย่วกลับกระโดดลงมาจากยอดไม้อย่างฉับพลัน
ลุงเฉิงกับฮั่วชิวเผยสีหน้าระแวดระวัง ด้วยเพราะไม่รู้ว่าลิ่นเฉิงโย่วมีเจตนาใดกันแน่
สายตาลิ่นเฉิงโย่วมองตรงไปข้างหน้า ยกนิ้วชี้จรดริมฝีปากบอกให้พวกเขาเงียบเสียงลง
เถิงอวี้อี้มองตามไปก็เห็นว่ามีคนพลิ้วกายวูบโผล่ออกมาจากสระหนานเจ๋อ ภายใต้แสงจันทร์สาดส่องเห็นว่าคนผู้นั้นมีแผ่นหลังงามอรชร สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า ก้มศีรษะลงเดินอ้อมศาลาริมน้ำไปอย่างรีบร้อน มุ่งหน้าตรงไปยังเรือนหงเซียง
เถิงอวี้อี้ใจเต้นโครมครามดั่งตีกลอง ในหอแห่งนี้คนที่สวมผ้าคลุมหน้าตลอดทั้งวันมีเพียงผู้เดียว
เก๋อจิน? ดึกดื่นป่านนี้นางวิ่งออกมาทำอะไร