ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35
ลิ่นเฉิงโย่วรวบรวมพลังปราณแล้วโจนทะยานติดตามไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
ลุงเฉิงเอ่ยเสียงเคร่งเครียดว่า “คุณหนู เฉิงอ๋องซื่อจื่อไม่มีทางรออยู่ตรงนี้เฉยๆ แน่ จะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ทางที่ดีพวกเราอย่าอ้อยอิ่งอยู่ต่อไปเลย ควรรีบกลับห้องให้เร็วที่สุดดีกว่า ถึงอย่างไรกระบวนท่าแรกก็ผ่านแล้ว คืนนี้ฤทธิ์ยาคงไม่กำเริบขึ้นมาอีก”
เถิงอวี้อี้จ้องมองทิศทางที่ร่างลิ่นเฉิงโย่วหายลับไปแล้วพยักหน้าตอบ “ไปเถอะ”
นายบ่าวสามคนเดินกลับไปอย่างรีบร้อน ยังไม่ทันเหยียบลงบนขั้นบันไดก็ได้ยินสตรีกรีดร้องเสียงดังโหยหวนอย่างไม่คาดฝัน เสียงลอยมาจากทางศาลาริมน้ำอย่างชัดเจน ทั้งสามมองไปทางนั้นอย่างตกตะลึง
ลุงเฉิงกับฮั่วชิวชักดาบออกมาโดยพร้อมเพรียง “เป็นเรือนหงเซียง!”
เถิงอวี้อี้หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เรือนหงเซียงตั้งอยู่ตรงข้ามกับเรือนอี่อวี้ ผังแบบไม่แตกต่างจากเรือนอี่อวี้เท่าใดนัก ก็เป็นห้องพักสองแถวเหมือนกัน ผู้ที่พักอาศัยเป็นดาวเด่นในหอทั้งสิ้น
เถิงอวี้อี้ตื่นตระหนกสุดจะระงับได้ “พวกท่านรู้สึกหรือไม่ว่าเสียงสตรีนางนี้คุ้นหูนัก”
ฮั่วชิวกับลุงเฉิงต่างพยักหน้า
เถิงอวี้อี้ชักกระบี่เสี่ยวหยาออกมา “ไปดูกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ลุงเฉิงยับยั้งเถิงอวี้อี้เอาไว้ตามสัญชาตญาณ แต่เสียงกรีดร้องนั้นดูท่าจะสร้างความตกใจให้คนจำนวนไม่น้อย โคมไฟบริเวณสระหนานเจ๋อสั่นไหว ในหอเกิดความโกลาหลวุ่นวาย คาดว่าอีกไม่นานคนทางหอหน้าต้องแห่กันมาตรวจสอบทางนี้แน่
คนทั้งสามเร่งเดินทางมาถึงเรือนหงเซียง เสียงคนที่ยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินดังเซ็งแซ่ มีสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งผลุนผลันออกมาจากห้อง รีบร้อนจัดปิ่นปักผมกับต่างหูให้เข้าที่พลางเอ่ยเสียงสั่นว่า “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่ เหมือนจะเป็นเสียงเว่ยจื่อ”
เถิงอวี้อี้รู้สึกว่าสตรีนางนี้ช่างคุ้นหน้าคุ้นตา เพ่งพินิจมองให้ถี่ถ้วนถึงมองออกว่าเป็นเอ้อจี ยามค่ำคืนนางมิได้ทาแป้งแต้มชาดจึงขาดความเย้ายวนเปี่ยมเสน่ห์ที่เคยพบเห็นยามปกติ
แม่นางในแต่ละห้องเปิดประตูกวาดสายตามองไปรอบๆ เนื่องจากหวาดกลัวปีศาจร้ายมาอาละวาด จึงไม่กล้าออกจากห้องตามอำเภอใจ
“ได้ยินแล้ว น่าจะเป็นเสียงเว่ยจื่อ เอ้อต้าเหนียงดูนั่นสิ ประตูห้องเว่ยจื่อเปิดอยู่”
“ระวังตัวด้วย อย่าลืมว่าเฉิงอ๋องซื่อจื่อไม่อนุญาตให้พวกเราเดินเพ่นพ่านตอนกลางคืน”
เอ้อจีจ้องมองประตูที่เปิดอ้าอยู่บานนั้น ยังคงลังเลไม่กล้าขยับไปที่ใด พลันหันไปเหลือบเห็นพวกเถิงอวี้อี้นายบ่าว จึงรวบรวมความกล้าเอ่ยเรียก “คุณชายหวัง พวกท่าน…”
ใครจะรู้ว่าในตอนนี้เองมีเสียงกรีดร้องสั้นๆ ของสตรีนางหนึ่งดังออกมาอีก เสียงนี้เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ฟังดูแล้วกลับไม่เหมือนเสียงเว่ยจื่อ
ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้าง แล้วก็มีสตรีวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากห้องในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง “เป็นเก๋อจิน! เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ว่อต้าเหนียง”
พอเห็นว่อต้าเหนียงวิ่งปร๋อตรงไปทางห้องเว่ยจื่อ คนที่เหลือก็ทนไม่ไหวตามออกมาด้วย
เอ้อจีหันไปสั่งการบ่าวหญิงอาวุโสท่าทางขลาดกลัวสองสามคน “รีบไปแจ้งข่าวให้ซื่อจื่อกับเหล่านักพรตรู้เร็วเข้า!”
เถิงอวี้อี้วิ่งมาถึงหน้าประตูห้องเว่ยจื่อ ภายในห้องจุดโคมไฟแล้ว เมื่อเงยหน้ามองก็ต้องตกใจ คนหนึ่งล้มลงหน้าเตียง ส่วนอีกคนหนึ่งกลับล้มลงกับพื้น
คนที่อยู่หน้าเตียงคือเว่ยจื่อ เห็นได้ชัดว่าตกใจเสียขวัญแย่แล้ว นางกอดไหล่ตนเองเนื้อตัวสั่นเทา ใบหน้าซีดขาวไม่ต่างกับกระดาษ
อีกคนก็คือเก๋อจิน นางล้มคว่ำอยู่บนพื้น ศีรษะพยายามเชิดสูงอย่างดื้อรั้น ผ้าคลุมหน้าถูกกระชากขาดไปนานแล้ว เผยให้เห็นรอยแผลชวนสยดสยองบนใบหน้า
นางจ้องเว่ยจื่อเขม็งไม่ละสายตา อ้าปากเปล่งเสียงดุดัน “ปล่อยข้า! ข้าจะฆ่าสตรีอำมหิตนางนี้”
ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้เพราะสองมือถูกมัดไพล่หลังไว้แล้ว ได้แต่นอนดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์ ลิ่นเฉิงโย่วนั่งยองลงตรงหน้าเก๋อจิน ดึงกริชในมือนางออกมา
สตรีทั้งหลายต่างตกใจหน้าถอดสี “นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าสับสนวุ่นวายดังมาจากระเบียงทางเดิน นักพรตเจี้ยนเทียนแห่งอารามตงหมิงกับเฮ่อหมิงเซิงเดินไล่ตามหลังกันมา
เฮ่อหมิงเซิงไม่ได้สวมหมวกผ้าบนศีรษะ เข็มขัดก็ยังไม่ทันคาดให้เรียบร้อย เนื้ออวบอิ่มบนใบหน้าสั่นกระเพื่อมยามวิ่งเข้ามา หายใจเหนื่อยหอบพลางว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ทันทีที่มองเห็นสภาพภายในห้องเขาก็หนาวสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ลิ่นเฉิงโย่วหันหน้ากลับมา “คืนนี้พวกผู้อาวุโสช่วยเฝ้าประตูด้านหน้าด้านหลัง ในหอไม่มีใครออกไปได้แล้วใช่หรือไม่”
หน้าประตูมีคนยืนเบียดเสียดแน่นขนัด เจี้ยนเทียนไม่อาจแทรกตัวเข้ามาได้ชั่วขณะ ได้แต่ชะเง้อคอยาวตอบไปว่า “มีข้ากับศิษย์น้องหลายคนจับตาดูอยู่ แม้แต่แมลงวันสักตัวยังบินออกไปไม่ได้”
ลิ่นเฉิงโย่วถึงได้หันไปทางเฮ่อหมิงเซิง “เถ้าแก่เฮ่อ อีกไม่นานขุนนางศาลต้าหลี่จะเดินทางมาถึง เรียกคนในหอทั้งหมดไปรวมกันที่หอหน้า ข้ามีเรื่องจะซักถาม”
เก๋อจินกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา “รีบปล่อยข้าไปนะ! เว่ยจื่อ! เจ้านี่มันสตรีใจอสรพิษ ข้าจะต้องฆ่าเจ้าด้วยมือตนเองให้ได้!”
เถิงอวี้อี้มองเก๋อจินด้วยสีหน้าครุ่นคิด มิน่าเล่าคืนนี้นางถึงต้องไล่เจวี่ยนเอ๋อร์หลีออกไป คาดว่าคงมีความคิดจะแก้แค้นมานานแล้ว หากมีคนอยู่ร่วมห้องด้วยจะทำให้แผนการของนางล้มเหลวหมดสิ้น
ลิ่นเฉิงโย่วไปเฝ้าอยู่บนต้นไม้ล่วงหน้า เกรงว่าก็คงคาดคะเนไว้แล้วว่าคืนนี้เก๋อจินจะมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ
เว่ยจื่อพยุงเตียงลุกขึ้นยืนอย่างโซเซ ริมฝีปากแดงสั่นระริก ดวงตาหงส์คู่นั้นถลึงจนดูปูดโปน “เจ้านี่มันหญิงเสียสติ! อย่ามาใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นนะ เจ้าโดนวิญญาณอาฆาตทำร้ายแท้ๆ มาเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
ลิ่นเฉิงโย่วรีบเอ่ยปากเร่งรัดเฮ่อหมิงเซิง “ยังมัวยืนทำบื้ออะไรอยู่ ไล่คนกลับไปก่อน”
เฮ่อหมิงเซิงนำบ่าวรับใช้สองคนบุกเข้ามา ยืนยันแน่ใจว่าข้างกายเก๋อจินไม่มีอาวุธสังหารแล้วถึงได้ฉุดร่างนางให้ลุกขึ้น ท่าทางเขายังตื่นตระหนกไม่หาย “เก๋อจิน อยู่ดีๆ นี่เจ้าจะทำอะไร เรื่องที่ควรตรวจสอบพวกเราก็ตรวจสอบหมดแล้ว บอกเจ้าไปแต่แรกแล้วว่าไม่ใช่ฝีมือพวกเว่ยจื่อทำร้ายเจ้า”
เก๋อจินแววตาเกรี้ยวกราด “ในเมื่อนางตั้งใจทำร้ายคน จะปล่อยให้พวกท่านจับจุดอ่อนได้อย่างไร โชคดีที่สวรรค์มีตา ทำให้ข้าหาหลักฐานพบจนได้!”
ทุกคนในที่นั้นต่างมึนงง “หลักฐาน? หลักฐานอะไรกัน”
ในตอนนี้เองมีคนวิ่งเข้ามาอีก “ซื่อจื่อขอรับ เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนแห่งศาลต้าหลี่มาถึงแล้ว”
ผ่านไปไม่นานคนในหอไฉ่เฟิ่งก็มารวมกันครบทั้งหมด เถิงอวี้อี้หาตำแหน่งที่ไม่สะดุดตานักในห้องโถงด้านหน้าพบแล้วนั่งลง ก็มองเห็นขุนนางศาลต้าหลี่ผู้นั้นเมื่อครั้งก่อนดังคาด เขาพาเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่มาด้วยสิบกว่าคน เฝ้ารอบหอไฉ่เฟิ่งทั้งด้านในและด้านนอก จากนั้นกล่าวกับเฮ่อหมิงเซิงว่า “เรียกแม่เล้าอาวุโสที่มีประสบการณ์สองคนมานำทางด้วย ข้ากับลูกน้องหลายคนจะไปตรวจค้นเรือนชั้นใน”
ทุกคนไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการตรวจค้นสิ่งใดจึงวิตกกังวลไปพักใหญ่
เฮ่อหมิงเซิงชี้ให้สตรีสองนางเดินออกมาอย่างหวาดกลัว ก่อนสั่งพวกนางให้นำทางเหล่าขุนนางไปยังเรือนชั้นใน
ดาวเด่นในหอสิบกว่านางนอกจากเก๋อจินที่โดนมัดไว้ล้วนมายืนอยู่ในห้องโถงกลางกันหมด แต่ละคนมีสีหน้ากระวนกระวายแต่ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่าม
ลิ่นเฉิงโย่วสั่งให้คนพาเก๋อจินมาอยู่ตรงหน้า “พูดมาเถอะ เหตุใดถึงลงมือทำร้ายคน”
เก๋อจินเงยหน้าขึ้นทันควัน “ข้าน้อยทำเพราะต้องการแก้แค้น เดือนก่อนคืนวันที่สิบแปดข้าน้อยถูกคนทำลายรูปโฉม เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้ดี ตอนนั้นเถ้าแก่ตรวจสอบทุกคนในหอแล้วกลับไม่พบใครน่าสงสัยเลย ข้าน้อยคิดทบทวนถึงเสียง ‘ผีสาว’ อยู่ทุกคืนวัน พบว่าเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย หากเป็นฝีมือคนในหอจะแยกแยะไม่ออกได้อย่างไร รวมถึงก่อนหน้านี้ในหอมีข่าวลือว่ามีผีสิงมาแรมเดือนแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นฝีมือวิญญาณอาฆาต เถ้าแก้พยายามไกล่เกลี่ยให้เรื่องยุติลงจึงไม่เคยไปแจ้งความ”
“ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าเสียงผีสาวตนนั้นเป็นเสียงใคร เพราะเรื่องอะไรถึงทำให้เจ้าฉุกใจสงสัยได้เล่า”
เก๋อจินมองเว่ยจื่อด้วยแววตาเย็นเยียบ “ข้าน้อยได้รับบาดเจ็บจนเลอะเลือน เดิมทีนึกว่าชาตินี้คงไม่มีทางสืบหาความจริงได้กระจ่างแล้ว ใครจะรู้ว่าสวรรค์ยังมีความยุติธรรม หลายวันก่อนข้าน้อยจึงหาของสิ่งหนึ่งพบใต้เตียง ตอนนี้เก็บอยู่ในถุงหอมข้างเอว เจ้าหน้าที่ไต่สวนกับซื่อจื่อเห็นก็จะรู้เองเจ้าค่ะ”
ลิ่นเฉิงโย่วสั่งคนให้ไปหยิบถุงหอมมา แล้วแกะเชือกตรงปากถุงต่อหน้าธารกำนัล ล้วงเอาของในถุงออกมาดู เป็นอัญมณีเลอค่าส่องประกายแวววาวชิ้นหนึ่ง มันมีสีแดงเข้มและขนาดใหญ่เท่าไข่นกพิราบ
เถิงอวี้อี้ลอบสังเกตสีหน้าของเว่ยจื่ออยู่ตลอด พอของสิ่งนั้นถูกหยิบออกจากถุงสีหน้าเว่ยจื่อก็เปลี่ยนไปในพริบตา
คนในห้องโถงส่วนใหญ่ไม่รู้จักของสิ่งนี้ ลอบซุบซิบพูดคุยกันเบาๆ
ลิ่นเฉิงโย่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อัญมณีแห่งโม่เหอ? นี่ก็คือหลักฐานที่เจ้าว่าหรือ”
เก๋อจินผงกศีรษะ “ซื่อจื่อสายตาแหลมคมนัก อัญมณีแห่งโม่เหอขนาดใหญ่เนื้อเกลี้ยงเกลาเช่นนี้ในฉางอันมีเพียงชิ้นเดียว นี่เป็นของขวัญที่องค์ชายจากต่างชนเผ่าองค์หนึ่งมอบให้เว่ยจื่อเมื่อปีก่อน หลังจากได้มาแล้วเว่ยจื่อเคยโอ้อวดให้ทุกคนชื่นชมไม่รู้กี่ครั้ง เรื่องนี้มีเถ้าแก่กับเอ้อต้าเหนียงเป็นพยาน ซื่อจื่อลองถามดูก็รู้แล้วเจ้าค่ะ”
เฮ่อหมิงเซิงสีหน้าฉายแววตกตะลึง