ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35
ด้านเอ้อจีกลับลุกขึ้นมามองดูอย่างจริงจัง “ถูกต้องแล้ว ข้าน้อยเคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน คืนนั้นเป็นวันที่สองของงานเลี้ยงใหญ่วันตงจื้อ องค์ชายต่างชนเผ่าพาคนมาหาความสำราญ พวกนางแต่ละคนต่างแสดงความสามารถของตนเอง เก๋อจินดีดพิณแต่งบทกวี เหยาหวงเลียนเสียนนกขมิ้นทำให้คนหัวเราะ เว่ยจื่อร่ายรำระบำหูเสวียน องค์ชายต่างชนเผ่าถูกใจเว่ยจื่อจึงมอบอัญมณีแห่งโม่เหอชิ้นนี้ให้นาง”
เก๋อจินเน้นย้ำทีละคำ “ขอให้เถ้าแก่กับเอ้อต้าเหนียงแยกแยะให้ละเอียด ตกลงนี่เป็นอัญมณีชิ้นนั้นของเว่ยจื่อใช่หรือไม่”
สีหน้าเว่ยจื่อพลันดุร้ายขึ้นมา “มิน่าเล่าหลายวันก่อนอัญมณีแห่งโม่เหอชิ้นนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ที่แท้เจ้าจงใจใส่ความข้า…”
ลิ่นเฉิงโย่วกล่าวตัดบทเว่ยจื่อ “เถ้าแก่เฮ่อ เอ้อต้าเหนียง พวกเจ้าลองเข้ามาแยกแยะให้ดี”
เอ้อจีมองเว่ยจื่อแวบหนึ่งอย่างลำบากใจแล้วพยักหน้าเงียบๆ
ลิ่นเฉิงโย่วหันไปหาเฮ่อหมิงเซิงอีกครั้ง เฮ่อหมิงเซิงก็ถอนหายใจกล่าว “ชิ้นนี้นี่ล่ะขอรับ”
เว่ยจื่อสีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน “ซื่อจื่อเจ้าคะ อย่าไปฟังเก๋อจินพูดจาเหลวไหล อัญมณีแห่งโม่เหอชิ้นนี้ ถึงแม้จะเป็นของข้าน้อย แต่หายไปตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว”
เก๋อจินเสียงแหลมสูงขึ้นมา “อัญมณีเลอค่าถึงเพียงนี้หายไปชิ้นหนึ่ง เหตุใดไม่เห็นเจ้าไปแจ้งที่ว่าการ เจ้าคงไม่กล้าแจ้งอันใดใช่หรือไม่เล่า! เพราะว่าเจ้ารู้อยู่แก่ใจดีว่าทำอัญมณีแห่งโม่เหอหล่นหายในคืนนั้น ตอนที่เจ้ามาซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงข้า!”
นางหันไปมองหน้าลิ่นเฉิงโย่ว “ซื่อจื่อ ที่ผ่านมาห้องของข้าน้อยมีชิงจือรับผิดชอบทำความสะอาด แต่หลังจากข้าน้อยเสียโฉมไปในวันนั้นชิงจือก็ยุ่งอยู่กับการยกน้ำแกงส่งยาทั้งวันไม่เคยได้พัก จึงไม่ได้กวาดห้องมานานแล้ว ครั้งก่อนข้าน้อยโดนปีศาจหนุ่มตนนั้นจับตัวไป หลังหายป่วยข้าน้อยอยากปัดเป่าเคราะห์ร้ายจึงสั่งให้ชิงจือทำความสะอาดห้อง ปรากฏว่าหาของสิ่งนี้เจอใต้เตียง คิดว่าคงทำหล่นไว้ตั้งแต่คืนนั้น เว่ยจื่อกลัวว่าเรื่องนี้จะถูกเปิดโปงจึงไม่กล้าย้อนกลับมาค้นหา”
เว่ยจื่อโกรธจัดหน้าแดงก่ำ “มีเจตนาใส่ความคนย่อมหาข้ออ้างได้สารพัด เจ้าเคยบอกเองแท้ๆ ว่าคนผู้นั้นเป็นสตรีวัยกลางคน เสียงของข้าเจ้าฟังไม่ออกหรือไร หากเป็นข้าที่ทำร้ายเจ้าจริง เจ้าคงฟังออกไปนานแล้ว คืนนั้นข้ากับรองเสนาบดีหลินไปร่วมงานชุมนุมกวี มีเหล่าบัณฑิตในหอกวีจ้าวฮุยเป็นพยานได้”
“เสียงเดิมทีก็สามารถปลอมกันได้ คืนนั้นตอนเกิดเรื่องข้าตื่นตระหนกเกินไป ไม่แน่ว่าอาจฟังเสียงไม่ชัดไปชั่วขณะ หอกวีจ้าวฮุยอยู่ห่างจากหอไฉ่เฟิ่งไม่ไกล เจ้าหาข้ออ้างปลีกตัวออกมาได้ทุกเมื่อ คืนนั้นพวกรองเสนาบดีหลินได้แต่เป็นพยานว่าเจ้าเคยปรากฏตัวในงานชุมนุมกวี แต่ไม่อาจรับรองได้ว่าเจ้าไม่เคยจากไปที่ใดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ งานชุมนุมกวีที่หอกวีจ้าวฮุยข้าเคยไปตั้งหลายครั้ง ทุกครั้งเมื่อพ้นยามไฮ่ก็จะมีการดื่มสุรารอบใหญ่ ผู้มาร่วมงานมักดื่มสุราจนเมาหัวราน้ำ สติไม่แจ่มชัดยังจะรู้เรื่องได้อย่างไร ตอนข้าโดนทำร้ายเป็นช่วงหลังยามไฮ่พอดี ตอนนั้นหากเจ้าฉวยโอกาสยามวุ่นวายหลบออกมาก็ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำ”
“เหลวไหลทั้งเพ!” เว่ยจื่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่า นั่นมิเท่ากับว่าใครๆ ก็ทำร้ายเจ้าได้หรือ”
เก๋อจินหรี่ตาลง “สิ่งที่ตกอยู่ใต้เตียงข้าไม่ใช่ของใครอื่น เป็นอัญมณีแห่งโม่เหอของเจ้า เว่ยจื่อ เจ้าเคยบอกว่าตนเองรักและหวงแหนอัญมณีชิ้นนี้มาก ไม่เคยปล่อยให้ห่างตัวเลย หากไม่ใช่ฝีมือของเจ้า แล้วเหตุใดอยู่ดีๆ มันวิ่งมาอยู่ใต้เตียงข้าได้เล่า”
“ข้าบอกไปแล้วว่าอัญมณีชิ้นนี้หายไปเมื่อหลายวันก่อน” สายตาเว่ยจื่อเป็นประกายวาวโรจน์ “บางทีอาจมีคนจงใจขโมยมันไปเพื่อใช้โยนความผิดให้ข้าก็ได้”
“ข้าขอถามเจ้าข้อเดียว เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปแจ้งที่ว่าการหรือฟ้องร้องอันใดสักอย่างเล่า” แววตาเก๋อจินคมกริบดุจใบมีด น้ำเสียงบีบคั้นทุกย่างก้าว
เว่ยจื่อสั่นสะท้านไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าจะเอ่ยตอบคำถามอย่างไร พวงแก้มอวบอิ่มมีหยาดน้ำตาเกาะพราว มองไม่ออกว่าเป็นเพราะความละอายใจหรือแค้นเคือง
ทุกคนในที่นี้มีสีหน้าแตกต่างกันออกไป ก่อนจะเห็นว่าผ่านไปพักใหญ่เว่ยจื่อยังนิ่งเงียบ ในแววตามีความคลางแคลงใจเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
เก๋อจินก้มศีรษะให้พวกลิ่นเฉิงโย่วอย่างอ่อนน้อม “ซื่อจื่อ ข้าน้อยเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ของครอบครัวตั้งแต่เล็ก พลาดพลั้งร่วงหล่นลงในโคลนตม แม้ร่างกายจะต้อยต่ำ แต่จิตใจไม่เคยหมองมัว เดือนก่อนโดนคนทำร้ายจนเสียโฉมอย่างไม่ทราบสาเหตุ จิตใจหมดอาลัยดั่งขี้เถ้ามอดไปนานแล้ว ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ มาถึงตอนนี้เพียงเพื่อตามหาคนร้ายตัวจริง คนผู้นี้ทำลายข้าน้อยไปทั้งชีวิต หากยังไม่ชำระแค้นข้าน้อยจะไม่ยอมตาย วันนี้หลักฐานความผิดอยู่ตรงหน้า ขอให้ซื่อจื่อกับเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนทวงความยุติธรรมให้ข้าน้อยด้วย”
ทุกคนพากันถอนหายใจ ก่อนเกิดเรื่องเก๋อจินเป็นคนเปิดเผยใจกว้างยิ่งนัก นิสัยมาเปลี่ยนไปกะทันหันเพียงเพราะประสบเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ หลังเกิดเรื่องก็มิได้เอาแต่โทษตนเองส่งเดช ยังอดทนกับความอัปยศเพื่อค้นหาตัวคนร้ายได้ จิตใจเข้มแข็งเช่นนี้ชวนให้ผู้คนรู้สึกยกย่องและสงสารเห็นใจ
ลิ่นเฉิงโย่วลุกขึ้นเดินมาอยู่ตรงหน้าเก๋อจิน นั่งยองลงมองหน้านาง
เก๋อจินหมอบลงกับพื้นไม่ลุกขึ้นมา “ข้าน้อยร้องขอเพียงความยุติธรรมเท่านั้น”
เว่ยจื่อมองหน้าเก๋อจินสลับกับลิ่นเฉิงโย่ว ก่อนจะกล่าวอย่างลนลานว่า “ซื่อจื่อเจ้าคะ โปรดฟังข้าน้อยสักคำ…”
ลิ่นเฉิงโย่วยกมือขึ้นบอกให้เว่ยจื่อเงียบไปก่อน แล้วเอ่ยถามเก๋อจินต่อ “วันนั้นเรื่องทำความสะอาดห้อง เจ้าหรือชิงจือเป็นคนเสนอความคิดนี้ขึ้นมา”
เก๋อจินเงยหน้าอย่างประหลาดใจ เดิมทีนึกว่าลิ่นเฉิงโย่วจะซักถามรายละเอียดในคืนนั้น ไหนเลยจะรู้ว่ากลับมาถามเรื่องนี้
นางไม่เข้าใจความนัยแอบแฝง กัดฟันตอบไปว่า “เป็นข้าน้อยเอง”
“เจ้าลองคิดทบทวนให้ดี” ลิ่นเฉิงโย่วเผยรอยยิ้มแปลกพิกล “จะให้ข้าแก้แค้นแทนเจ้า เจ้าต้องนึกเรื่องนี้ออกให้ได้ก่อน”
เก๋อจินใคร่ครวญอยู่นานก็ส่ายหน้า “เรื่องนี้ผ่านไปหลายวันแล้ว ข้าน้อยนึกไม่ออกเจ้าค่ะ”
ลิ่นเฉิงโย่วลุกขึ้นยืนตรง ยกมือไพล่หลังเดินวนรอบเก๋อจินสองรอบ “ข้าได้ยินว่าสาวใช้ชื่อชิงจือผู้นี้ชอบอู้งานเป็นที่สุด เคยรับใช้เจ้าจนเหน็ดเหนื่อยทนไม่ไหว เป็นฝ่ายไปขอว่อต้าเหนียงให้เปลี่ยนเจ้านายคนใหม่ อยู่ๆ เจ้าให้นางทำความสะอาดห้อง นางไม่หาข้ออ้างปฏิเสธเลยหรือ”
เก๋อจินตะลึงงัน “ซื่อจื่อกล่าวเช่นนี้ทำให้ข้าน้อยนึกขึ้นมาได้แล้ว วันนั้นข้าน้อยดื่มน้ำแกงถอนพิษ ไม่ทันระวังทำหกลงพื้นเล็กน้อย ชิงจือบอกว่าระหว่างที่ข้าน้อยป่วยเคยอาเจียนหลายครั้ง มาวันนี้ในเมื่ออาการดีขึ้นแล้ว ไม่สู้ถือโอกาสเก็บกวาดห้องให้สะอาด จะได้ปัดเป่าเอาโรคภัยไข้เจ็บออกไป”
“เช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วผงกศีรษะ “เจ้าโดนปีศาจวิหคจับตัวไป หลังเจ้ารอดกลับมาก็นอนหลับไม่ได้สติไปสองสามวัน ชิงจือคอยรับใช้ทั้งวันทั้งคืน คิดว่าคงเหนื่อยแทบแย่ หลังจากเจ้าหายดีนางไม่ฉวยโอกาสนี้อู้งานก็นับว่าแปลกแล้ว จะเป็นฝ่ายเสนอตัวขอทำงานได้อย่างไร เจ้าลองคิดถึงเหตุการณ์วันนั้นให้ดี ชิงจือพูดอะไรกับเจ้าบ้าง อัญมณีแห่งโม่เหอชิ้นนั้นเจ้าเป็นคนหาเจอหรือว่าคนอื่นหาเจอกันแน่”
สีหน้าเก๋อจินเปลี่ยนไปเล็กน้อย “…ไม่ถูกสิ…ชิงจือเป็นคนบอกว่าใต้เตียงมีของอะไรอยู่ นี่ซื่อจื่อกำลังจะบอกว่า…”
ลิ่นเฉิงโย่วชำเลืองมองใครบางคนในห้องโถงแล้วยิ้มออกมา “ข้าจะบอกว่าคนที่ทำร้ายเจ้าเป็นคนอื่น”
* ทวารทั้งเจ็ด หมายถึงหู 2 ข้าง ตา 2 ข้าง จมูก 2 รู และปาก 1 ปาก
* ‘เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา’ เจ็ดอารมณ์ ได้แก่ ยินดี โกรธ เศร้า กลัว รัก เกลียด และใคร่ หกปรารถนา ได้แก่ ปรารถนาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
* พระโพธิสัตว์ดินเหนียวข้ามแม่น้ำเอาตัวไม่รอด หมายถึงแม้แต่ตนเองยังปกป้องไม่ได้ ยิ่งไม่มีทางช่วยเหลือผู้อื่นได้เลย
* ห้าใหญ่สามหนา หมายถึงคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงจะต้องมีห้าใหญ่ประกอบด้วยสองมือ สองเท้า และหนึ่งศีรษะ ส่วนสามหนาประกอบด้วยขา เอว และคอ
* ป๋อ คือหนึ่งในบรรดาศักดิ์ห้าขั้นรองจากชั้นอ๋อง ได้แก่ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน
* ฉุนไช่ เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายใบของบัวสายขนาดเล็ก ใต้ใบของมันจะมียอดอ่อนที่สามารถกินได้อยู่ โดยส่วนต้นอ่อนจะมีเมือกห่อหุ้ม ต้องล้างให้สะอาดก่อนนำไปปรุงอาหาร
* เทพไท่ไป๋ หรือไท่ไป๋ซิงจวิน เป็นเทพชั้นสูงของเต๋าและยังเป็นราชทูตประจำตัวของเง็กเซียนฮ่องเต้ด้วย
* จุดตันเถียน คือชื่อเรียกตำแหน่งชีพจรบริเวณท้องใต้สะดือลงไปประมาณ 3 นิ้ว
** ท่านั่งม้า (หม่าปู้) เป็นท่าฝึกยุทธ์เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของกำลังขาและการทรงตัว โดยการยืนแยกขาให้กว้างกว่าช่วงไหล่ แล้วย่อลงนั่งค้างหลังตรงคล้ายกับกำลังนั่งอยู่บนม้านั่ง
* ปลาหนีชิว เป็นชื่อปลาชนิดหนึ่งมีลักษณะตัวกลมปลายหางแบน หลังสีดำ ท้องสีขาวหรือเทา หัวเล็กแหลม ปากมีหนวด มักจะอยู่ในแม่น้ำ หนอง บึง ชอบซ่อนตัวอยู่ในดินเลน เนื้อใช้รับประทานได้
* ภรรยาร่วมผูกผม หมายถึงภรรยาคนแรกที่ร่วมผูกผมกับสามีตามธรรมเนียมในพิธีแต่งงานจีน เพื่อแสดงถึงความรักมั่นยืนยาว
* กาน้ำหยด เป็นนาฬิกาน้ำในสมัยโบราณของจีน มีลักษณะแตกต่างกันหลากหลายรูปแบบ โดยมากจะใช้ภาชนะที่ทำจากทองแดงเจาะรูให้น้ำหยดลงมาตามท่อเพื่อบอกเวลา ภายหลังได้นำปรอทและทรายมาใช้แทนน้ำ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ก.ย. 66 เวลา 12.00 น.