ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35
เจวี๋ยเซิ่งตกใจจนหดคอหนีโดยพลัน รีบบอกใบ้ให้ชี่จื้อรู้ว่าอย่าพูดอะไรต่อไปอีกเลย มองไม่เห็นหรือว่าศิษย์พี่ยังโกรธไม่หาย พอเดินเข้ามาก็หาเรื่องคุณหนูเถิง ตอนนี้พวกเขาเป็นพระโพธิสัตว์ดินเหนียวข้ามแม่น้ำเอาตัวไม่รอด* คุณหนูเถิงจะแย่อย่างไรยังมีกระดิ่งเสวียนอินที่ศิษย์พี่มอบให้ หากมารผีดิบบุกมาจริง ทันทีที่กระดิ่งเสวียนอินบนข้อมือคุณหนูเถิงสั่นไหวศิษย์พี่ก็จะรีบไปอยู่แล้ว
ไม่คาดคิดว่าเถิงอวี้อี้นอกจากจะไม่ไปแล้ว กลับยิ้มแย้มหวานหยดแล้วนั่งลง “ซื่อจื่อ ข้าน้อยมาเพราะมีเรื่องสำคัญจะบอกกล่าว กว่าจะรอจนซื่อจื่อโผล่หน้ามาไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่คิดว่าซื่อจื่อเพิ่งมาถึงก็จะไล่ข้าน้อยไปแล้ว ข้าน้อยเดินจากไปไม่เป็นไรหรอก แต่เรื่องเกี่ยวพันถึงวิธีการกำจัดมารผีดิบ ไม่พูดออกไปเกรงว่าจะเสียงานได้”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยปากยิ้มๆ “ข้าไม่รู้เลยว่าคุณชายหวังยังกำจัดมารผีดิบได้ด้วย หากเจ้ามีวิธีดีๆ รับมือมารผีดิบได้จริง ก็ปกป้องตนเองได้แล้วสิ ยังต้องให้อารามชิงอวิ๋นกับอารามตงหมิงคุ้มครองอีกด้วยหรือ”
“ข้าน้อยก็เพิ่งรู้วิธีนี้มาเมื่อช่วงบ่าย หากลองทำตามวิธีการนี้ดู บางทีอาจกำจัดมารผีดิบได้อย่างราบรื่นก็ได้”
ลิ่นเฉิงโย่วไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว มารผีดิบเป็นถึงเจ้าแห่งสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ผู้อาวุโสที่มีอาคมเต๋าสูงส่งตั้งไม่รู้เท่าใดยังหาวิธีจัดการไม่ได้ สองสามวันมานี้เถิงอวี้อี้โดนกักตัวอยู่ในหอไฉ่เฟิ่ง จะไปสืบหาวิธีการล้ำเลิศนั้นมาจากที่ใด สตรีนางนี้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว พลาดพลั้งไปสักนิดก็จะโดนนางวางแผนเอาคืน เมื่อบ่ายเพิ่งยุยงให้เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อมาทะเลาะกับเขาเพื่อปกป้องคนของตน หากกล่าวการยั่วยุผู้อื่นให้ไฟโทสะลุกโชนเรียกว่าเก่งกาจเป็นที่หนึ่ง เวลานี้ไม่มีอันใดทำก็โผล่มาแสดงความขยันขันแข็ง ผู้ใดจะรู้ว่านางกำลังคิดคำนวณอะไรอยู่ในใจอีก
หากเป็นยามปกติเขาก็พอมีเวลามาต้อนรับขับสู้นางอยู่ แต่ตอนนี้เขาทั้งเหนื่อยทั้งหิว ไม่มีกะจิตกะใจจะทำสิ่งใดทั้งนั้น
ก็แค่ไม่ยอมจากไปมิใช่หรือ ข้าย่อมมีวิธีอื่นมาจัดการนางอยู่แล้ว
เขาหันหลังเดินไปอีกทางหนึ่ง ระหว่างเดินไปก็ถอดซองธนูสะพายหลังลงมา
คราแรกเถิงอวี้อี้ยังรอให้ลิ่นเฉิงโย่วซักถาม มองไปเรื่อยๆ ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติแล้ว ห้องโถงข้างวางเบาะที่นอนหนาๆ เอาไว้ มองดูแล้วน่าจะเป็นพื้นที่นอนหลับพักผ่อนยามค่ำคืน สองวันนี้ลิ่นเฉิงโย่วคงนอนในศาลเจ้าเพื่อที่จะตามจับปีศาจได้สะดวก
ลิ่นเฉิงโย่วเดินไปถึงหน้าเบาะที่นอน ล้มตัวลงไปข้างหน้าอย่างเกียจคร้าน “สองสามวันมานี้ข้าเหนื่อยแทบตายแล้ว ตอนกลางคืนยังต้องวิ่งวุ่นอีก นอนพักสักงีบก่อนแล้วกัน”
เหล่านักพรตต่างตกใจ
เถิงอวี้อี้พลันหน้าแดงก่ำ ผุดลุกขึ้นมาทันใด
ลิ่นเฉิงโย่วคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ยียวน ก่อนพลิกตัวลุกขึ้นมานั่ง แสร้งทำท่าจะถอดรองเท้า “คุณชายหวังอย่าเพิ่งไปสิ ก็แค่เห็นข้าตอนนอนหลับเองไม่ใช่หรือ ข้าไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย กลัวแต่ว่าแพร่งพรายออกไปแล้วจะไม่เป็นผลดีกับชื่อเสียงคุณชายหวังน่ะสิ”
เถิงอวี้อี้ลอบกัดฟันกรอด หันหลังให้ลิ่นเฉิงโย่วแล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไปข้างนอก “ในอดีตมีวิธีหนึ่งเคยใช้กำราบราชาผีดิบแคว้นหนานจ้าวสำเร็จมาแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาเต๋า นับเป็นวิธีการแปลกใหม่อีกทางหนึ่ง น่าเสียดายซื่อจื่อไม่อยากฟัง ข้าน้อยยังต้องพูดจามากความไปด้วยเหตุใดกัน เอาเถิด ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยก็ขอตัวก่อน”
เดิมทีลิ่นเฉิงโย่วไม่ได้คิดจะปลดเข็มขัดถอดเสื้อจริงหรอก เพียงแค่อยากวางมาดข่มขวัญเถิงอวี้อี้เท่านั้น พอได้ยินนางเอ่ยถึงราชาผีดิบแคว้นหนานจ้าวสองมือก็หยุดชะงักการเคลื่อนไหว
หรือว่านางจะล่วงรู้วิธีดีๆ อะไรมาจริง
เขารีบปั้นหน้ายิ้มแย้ม “คุณชายหวังอย่าลืมเสียเล่า หากมารผีดิบยังไม่โดนจับ คนแรกที่จะต้องเคราะห์ร้ายก็คือเจ้า”
เถิงอวี้อี้ก็หัวเราะออกมา แต่ไม่คิดจะหยุดฝีเท้าลง “ต่อให้ข้าน้อยตายไปแล้ว ซื่อจื่อยังต้องรับมือมารผีดิบอยู่ดีไม่ใช่หรือ ทั้งที่มีวิธีดีๆ เป็นต้นแบบอยู่ซื่อจื่อกลับไม่อยากฟัง ถึงอย่างไรพวกท่านก็มีความสามารถน่าอัศจรรย์อยู่แล้ว คิดว่าไม่หวังให้ผู้อื่นมาช่วยเสนอแผนการ อย่างมากก็เหน็ดเหนื่อยไปอีกไม่กี่รอบ สุดท้ายแล้วสักวันหนึ่งคงปราบปีศาจสองตนนั้นได้เอง”
ลิ่นเฉิงโย่วไอค่อกแค่กคำหนึ่ง ใช้สายตาสื่อสารบอกเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อให้ไปขวางเถิงอวี้อี้เอาไว้
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อกัดฟันวิ่งตามไป “คุณชายหวัง โปรดหยุดก่อน”
เถิงอวี้อี้เดินอ้อมเด็กชายสองคนออกไป “ไม่ต้องรั้งข้าเอาไว้เลย ศิษย์พี่ของพวกท่านมาทำกิริยารุ่มร่ามใส่ข้าก่อน นอกจากจะมากล่าวขออภัยต่อข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรีบเข้าไปล้อมนางไว้อีก ทว่าก็จนปัญญาเพราะเถิงอวี้อี้ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไป
ลุงเฉิงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เข้ามาขวางหน้าเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ กล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตร “ท่านนักพรตทั้งสอง รบกวนหลีกทางด้วย”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อตะลึงงัน ลุงเฉิงเป็นบ่าวผู้ภักดีของจวนสกุลเถิง ภายนอกท่าทางสุภาพเป็นกันเอง ความจริงแล้วนิสัยเด็ดเดี่ยวมีไหวพริบ หากยังขัดขวางไม่ยอมให้คุณหนูเถิงจากไปอีก สองฝ่ายจะต้องเกิดความบาดหมางต่อกันแน่
เด็กชายทั้งสองทำอะไรไม่ถูก มองไปทางลิ่นเฉิงโย่วคล้ายจะขอความช่วยเหลือ
โดยปกติเหล่านักพรตช่างเจรจาพาที เวลานี้กลับสงบปากสงบคำอย่างจงใจ ลิ่นเฉิงโย่วเป็นฝ่ายล่วงเกินผู้อื่น จะจบเรื่องก็ควรต้องจัดการเองไม่ใช่หรือ
ลิ่นเฉิงโย่วลุกขึ้นมานานแล้ว เขายิ้มกว้างแล้วเดินทอดน่องเข้ามาใกล้เถิงอวี้อี้ “คุณชายหวัง เจ้ากินอาหารมาหรือยัง”
เถิงอวี้อี้เลิกคิ้วเรียวงามขึ้นเล็กน้อย ดูจากนิสัยโอหังถือดีปานนั้นของลิ่นเฉิงโย่ว จะให้เขาก้มหน้ายอมรับผิดกลัวว่าจะยากเย็นยิ่งกว่าการปีนป่ายขึ้นสวรรค์เสียอีก ถามเช่นนี้กะทันหัน คงอยากจะกลบเกลื่อนเรื่องเมื่อครู่นี้ไปง่ายๆ กระมัง
นางเอ่ยตอบอย่างเฉยชา “ท่านช่วยเตือนพอดี ข้าน้อยกำลังจะกลับไปกินอาหาร”
เมื่อกล่าวจบแล้วนางก็ย่างเท้าเดินต่อทันที
“บังเอิญถึงเพียงนี้เชียว ข้าก็หิวแล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วหน้าหนาหาใดเปรียบ อมยิ้มพลางขวางเถิงอวี้อี้ไว้ “ข้าเป็นห่วงว่าตอนกลางคืนปีศาจสองตนจะบุกเข้ามา เพิ่งสั่งเถ้าแก่เฮ่อให้เตรียมสุราอาหารโต๊ะใหญ่ หากคุณชายหวังยินดีให้เกียรติร่วมโต๊ะ ข้าจะให้พวกเขาส่งสุราหลงเกาที่คุณชายหวังชอบดื่มมาเพิ่มด้วย”
ประกายในดวงตาเถิงอวี้อี้ไหววูบ ลิ่นเฉิงโย่วนับเป็นคนยืดได้หดได้ คงเพราะมั่นใจว่านางจะต้องหวั่นไหว ถึงกับนำสุราหลงเกามาเจรจาสงบศึกกับนาง สุราชนิดนี้ราคาแพงเกินไป ตัดใจเรื่องค่าสุราได้เพียงใดก็ไม่อาจดื่มได้ทุกวัน นางยอมรับว่าจิตใจหวั่นไหวแล้ว มิหนำซ้ำเดิมทีก็ไม่คิดจะจากไปอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงแสร้งถามอย่างไม่เต็มใจนัก “กี่กาหรือ”
ลิ่นเฉิงโย่วเพ่งพินิจมองเถิงอวี้อี้ สตรีนางนี้ดวงตาสีดำขลับเป็นประกาย มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีความคิดชั่วร้ายอยู่ คาดการณ์ไว้แต่แรกว่านางต้องโลภไม่รู้จักพอแน่ แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิดไว้ นางมั่นใจว่าเขาจะต้องอยากรู้วิธีนั้น ถึงได้ไร้ความหวั่นเกรงเพราะมีไม้ตายอยู่ในมือ
หากเป็นเมื่อก่อนจะมีคนกล้าบังคับขู่เข็ญเขาอย่างนี้หรือ ไม่รอให้คนผู้นั้นมาวางแผนทำร้าย เขาคงทำให้ฝ่ายตรงข้ามเดือดร้อนแสนสาหัสไปนานแล้ว น่าเสียดายมารผีดิบเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดเกินไป เขาไม่อยากพลาดโอกาสที่จะจัดการกับเจ้ามารตนนี้ อีกอย่างเมื่อครู่ก็นับว่าเขาหยอกเย้านางเกินงาม ดูจากคนนิสัยเช่นนางจะต้องไม่ยอมเลิกราโดยง่าย ก็แค่สุราไม่กี่กาเองไม่ใช่หรือ ขอเพียงสืบพบเบาะแสที่เป็นประโยชน์ได้ นางชอบดื่มสุราก็ให้นางดื่มไปสิ
“ในเมื่อข้าจะเป็นเจ้าภาพ คุณชายหวังอยากดื่มเท่าไรก็เชิญได้เลย”
เถิงอวี้อี้ยิ้มกว้างด้วยความพอใจ “ความปรารถนาดีของซื่อจื่อข้าไม่อยากจะปฏิเสธ ลุงเฉิง หาได้ยากที่ซื่อจื่อจะต้อนรับอย่างมีน้ำใจไมตรีเช่นนี้ ท่านไปเรียกฮั่วชิวมาด้วย คืนนี้พวกเรานายบ่าวจะกินอาหารกันที่นี่แล้ว”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อดีใจเหลือเกิน คนหนึ่งเดินไปที่หอหน้าสั่งกำชับห้องครัวให้เตรียมอาหารอย่างเบิกบานใจ ส่วนอีกคนหนึ่งยุ่งกับการทำความสะอาดเบาะที่นั่ง
ลิ่นเฉิงโย่วดึงตัวชี่จื้อเอาไว้ แล้วส่งของห่อนั้นที่วางบนโต๊ะก่อนหน้านี้ให้เขา “ให้ห้องครัวเอาสิ่งนี้ไปต้มน้ำแกงแล้วยกมา เจ้าคอยจับตาดูอยู่ข้างๆ ด้วย”
พวกเจี้ยนเทียนชะโงกมองคอยาว ก่อนตกตะลึงหน้าถอดสีไปฉับพลัน “รากวิญญาณหยกเพลิง!”
เถิงอวี้อี้รู้สึกฉงนสงสัย รากวิญญาณหยกเพลิงคือสิ่งใดกัน