ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35
เจวี๋ยเซิ่งจิตใจว้าวุ่นสับสนไปชั่วขณะ นึกถึงภาพวาดที่เถิงอวี้อี้เคยให้พวกเขาดูในคืนนั้นขึ้นมาได้กะทันหัน ในภาพวาดเป็นเส้นไหมที่บางเฉียบดั่งสายฝนเส้นหนึ่งพอดี ‘เส้นไหม’ นี้คงไม่เกี่ยวข้องกับ ‘สายพิณ’ ที่ใช้จัดการราชาผีดิบแคว้นหนานจ้าวหรอกนะ
“บางเฉียบดั่งสายฝน? ทั้งยังเฉือนหนังตัดกระดูกได้?” ลิ่นเฉิงโย่วขมวดคิ้วมุ่น “เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินว่ามีของดีเช่นนี้อยู่ด้วย คุณชายหวังไปได้ยินมาจากที่ใดกัน”
เถิงอวี้อี้รู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่ากระทั่งลิ่นเฉิงโย่วก็ยังไม่เคยเห็นอาวุธลับชนิดนี้มาก่อน เรื่องนี้ผิดปกติมากเกินไปแล้ว คืนนั้นนางคงไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่ นางเข้าใจผิดว่าเป็นอาวุธลับ ความจริงแล้วเป็นเพียงเส้นไหมธรรมดาเส้นหนึ่ง เพียงเพราะคนผู้นั้นวรยุทธ์ลึกล้ำ ถึงได้กลายเป็นอาวุธคมกริบสังหารคน?
“ข้าน้อยไม่มีความรู้เรื่องอาวุธแม้แต่น้อย” นางคิดทบทวนก่อนเอ่ยว่า “บังเอิญได้ยินนักเดินทางพูดคุยเรื่องนี้กันก่อนจะลงเรือ ระหว่างข้าน้อยเดินทางมาฉางอันเมื่อไม่นานมานี้พวกท่านก็รู้ว่ายามเรือจอดเทียบท่าต้านลม เหล่าจอมยุทธ์และปัญญาชนมักจะนั่งดื่มสุราพูดคุยกันตรงกราบเรือ ตลอดเส้นทางกลับเมืองหลวง เดินทางไปหยุดพักไป ข้าน้อยจึงได้ฟังเรื่องเล่าลือแปลกพิสดารจากต่างแดนมาไม่น้อย”
เจี้ยนเทียนถามขึ้นบ้าง “พูดเสียจนข้าอยากรู้ขึ้นมาแล้ว บนโลกนี้มีอาวุธชนิดนี้จริงหรือ เพราะเหตุใดถึงไม่เคยพบเห็นในตลาดของฉางอันเลยเล่า”
ลิ่นเฉิงโย่วลูบไล้ขอบจอกสุรา เรื่องที่ในค่ายทหารหนานจ้าวใช้สายพิณถอนเขี้ยวอาจเป็นความเท็จ แต่นับจากนั้นราชาผีดิบก็ไม่ออกอาละวาดอีกเลยเป็นความจริง หากไม่ใช่วิธีนี้ แล้วปราบราชาผีดิบได้อย่างไรกัน เรื่องนี้ต่อให้มีแปดส่วนปั้นแต่งขึ้นมา อย่างน้อยก็มีสองส่วนเกิดขึ้นจริง หรือคืนนี้จะให้คนไปสืบเรื่องถานซวินผู้นี้เลยดีหรือไม่กันนะ
ในตอนนี้เองก็มีคนโผล่หน้าเข้ามารายงาน “ซื่อจื่อ มีคนส่งจดหมายจากข้างนอกมาแล้วขอรับ คนอยู่ที่หอหน้าบอกว่าต้องการมอบจดหมายให้ท่านเองกับมือ”
ลิ่นเฉิงโย่วจึงลุกขึ้น “ทุกท่านค่อยๆ ดื่ม ขออภัยที่ข้าต้องขอตัวสักครู่”
ลิ่นเฉิงโย่วเดินออกไปไม่นาน ชี่จื้อก็เดินนำบรรดาสาวใช้มาส่งอาหารอย่างเริงร่า “รบกวนให้ทุกท่านรอนานแล้ว”
เมื่ออาหารหลากหลายสีสันถูกยกมาตั้งโต๊ะ บรรยากาศภายในศาลเจ้าก็คึกคักขึ้นมาในพริบตา
ก่อนจะลงหม้อรากวิญญาณหยกเพลิงงดงามน่าตื่นตา แต่หลังต้มน้ำแกงแล้วกลับส่งกลิ่นแปลกประหลาด เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเดินวนวุ่นวายไปรอบโต๊ะเพื่อแบ่งน้ำแกงให้ทุกคน
ทุกคนที่ร่วมโต๊ะอาหารได้รับส่วนแบ่งคนละชาม เถิงอวี้อี้ก็เช่นกัน นางไม่รีบร้อนดื่มน้ำแกง แต่พิจารณามองน้ำแกงในชามก่อน ของสิ่งนั้นสีเดิมจางหายไปหมดแล้ว ลักษณะคล้ายผ้าฝ้ายเกาะตัวเป็นกระจุก
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อปิดฝาครอบชามน้ำแกงของลิ่นเฉิงโย่วอย่างระมัดระวัง แล้วนั่งลงยกน้ำแกงของตนเองดื่มรวดเดียวหมด พอเงยหน้าขึ้นเห็นเถิงอวี้อี้ลังเลไม่ยอมดื่มจึงรีบเอ่ยเตือนว่า “คุณชายหวังดื่มเร็วเข้าเถอะ น้ำแกงสมุนไพรวิเศษชนิดนี้ต้องดื่มตอนร้อนๆ ถึงจะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด”
เถิงอวี้อี้พยักหน้ารับรู้ ฝืนใจดื่มคำหนึ่ง โชคดีว่าถึงน้ำแกงจะส่งกลิ่นประหลาดไปบ้าง แต่รสชาติกลับไม่เข้มข้นจนเกินไป ขณะที่นางกำลังจะดื่มให้หมดในคราวเดียวลิ่นเฉิงโย่วก็ถือจดหมายฉบับหนึ่งเดินกลับมา พอย่างเข้าประตูเห็นเถิงอวี้อี้ยกชามน้ำแกงขึ้นดื่มสีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ท่าทางคล้ายอยากจะยับยั้งเอาไว้
“ช้า…”
ทว่าก็ช้าไปแล้วก้าวหนึ่ง เถิงอวี้อี้ดื่มน้ำแกงที่เหลือรวดเดียวหมดเกลี้ยงแล้ว พอดื่มเสร็จก็สบสายตาแปลกพิกลของลิ่นเฉิงโย่ว นางจึงอดงุนงงไม่ได้ “มีอะไรหรือ”
สีหน้าลิ่นเฉิงโย่วกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขาเดินกลับมานั่งที่เดิม มองหน้าเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้ออย่างมีความหมายลึกซึ้งแอบแฝง
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเปิดฝาครอบชามของลิ่นเฉิงโย่ว “ศิษย์พี่ รีบดื่มเถอะ ขืนชักช้าจะเย็นชืดเสียหมด”
ลิ่นเฉิงโย่วครุ่นคิดแต่ไม่เอ่ยปาก รับชามน้ำแกงมาดื่มหมดในคราวเดียว
แต่ไหนแต่ไรมาเถิงอวี้อี้จะมีอาการมือเท้าเย็น แต่ดื่มน้ำแกงแล้วกลับรู้สึกร้อนผ่าวทั่วลำคอ สองเท้าราวกับแช่อยู่ในน้ำอุ่น กลางฝ่าเท้ามีไออุ่นลอยขึ้นมาอย่างอ้อยอิ่ง หลังจากนั้นไม่นานกระทั่งแผ่นหลังก็เริ่มมีเหงื่อออก อบอุ่นสบายไปทั้งตัวคล้ายนั่งอยู่หน้าเตาไฟ
นางค่อยๆ เช็ดเหงื่อที่ไหลซึม สมุนไพรชนิดนี้ออกฤทธิ์ดีเยี่ยมสมคำเล่าลือจริงๆ
ลุงเฉิงกับฮั่วชิววางชามกับตะเกียบลงอย่างไม่สบายใจ “คุณชาย เหตุใดหน้าท่านถึงแดงเช่นนี้”
คนทั้งสองสีหน้าเป็นปกติ ไม่เห็นมีเหงื่อออกสักนิด เถิงอวี้อี้เอ่ยถามด้วยความฉงนใจ “พวกท่านไม่รู้สึกร้อนบ้างหรือ”
“ร้อน?” เจี้ยนเซียนยุ่งกับการคีบกับข้าวลงในชามของตน “ดื่มน้ำแกงแล้วกินอาหารต่อ ดูเหมือนจะร้อนขึ้นมาสักหน่อยนะ เอ๋? คุณชายหวัง บนศีรษะท่านเหตุใดมีเหงื่อผุดพรายอย่างนั้นเล่า”
แม้ทุกคนจะมีใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง แต่กลับไม่เหงื่อแตกพลั่กอย่างเถิงอวี้อี้ นางเหลียวซ้ายแลขวา สบสายตาแปลกพิกลของลิ่นเฉิงโย่วอย่างไม่ทันตั้งตัว หัวใจพลันเต้นตุบๆ เร็วระรัวขึ้นมา
ลิ่นเฉิงโย่วแสร้งไม่รู้ไม่ชี้ “รากวิญญาณหยกเพลิงเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงชั้นเลิศ คุณชายหวังไม่มีกำลังภายในเหมือนพวกข้า เพิ่งจะดื่มลงท้องจึงปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง ข่มฤทธิ์ยาไปสักสองสามวันประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
“ใช่ๆ ตอนข้ายังหนุ่มเวลากินของบำรุงลมปราณ ก็เคยมีเหงื่อร้อนๆ แตกพลั่กอย่างคุณชายหวังนี่ล่ะ”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อพยักหน้าทันควัน “คุณชายหวังไม่ต้องเป็นห่วง นี่เป็นเรื่องดีนะ ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ รากวิญญาณหยกเพลิงสรรพคุณล้ำเลิศ หากท่านมีโรคเก่าเรื้อรังอันใด อาศัยฤทธิ์ยาในน้ำแกงชามนี้ ไม่แน่อาจจะขจัดต้นตอโรคภัยไปหมดสิ้นก็ได้”
ลุงเฉิงได้ยินประโยคนี้แล้วทั้งรู้สึกยินดีและวิตกกังวล นับตั้งแต่คุณหนูพลัดตกน้ำครั้งก่อนเขาก็เป็นห่วงอยู่เสมอว่าคุณหนูจะหลงเหลืออาการเจ็บป่วยใดไว้ ดื่มน้ำแกงสมุนไพรวิเศษนี้แล้วไม่แน่ว่าจะหายดีเป็นปลิดทิ้ง เขาเพ่งพินิจสีหน้าเถิงอวี้อี้อย่างละเอียด ก่อนเอ่ยถามอย่างเคร่งเครียด “ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่”
เถิงอวี้อี้ลองจับสังเกตเงียบๆ พักหนึ่ง รับรู้ได้ว่าร่างกายไม่มีส่วนใดรู้สึกไม่สบาย จึงยิ้มออกมาพลางว่า “ทำให้ทุกท่านต้องขบขันแล้ว คิดว่าพอได้ระบายเหงื่อออกมาก็คงจะดีขึ้นเอง”
ในตอนนี้เองก็มีบ่าวรับใช้ในหอโผล่มาชะโงกหน้าด้อมๆ มองๆ อยู่ข้างนอก “ซื่อจื่อขอรับ ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญจะรายงาน”
ลิ่นเฉิงโย่วกวักมือเรียกคนผู้นั้น