ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35
บ่าวรับใช้ในหอผู้นี้ชื่ออาเหยียน ปกติคอยรับผิดชอบต้อนรับและส่งแขกอยู่ที่หน้าหอ เป็นชายรูปร่างห้าใหญ่สามหนา* วิ่งเหยาะๆ มาจนถึงตรงหน้าลิ่นเฉิงโย่ว “แม่นางเก๋อจินกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีมีปากเสียงกันขอรับ เจวี่ยนเอ๋อร์หลีทำหยกประดับชิ้นหนึ่งของแม่นางเก๋อจินร่วงแตก แม่นางเก๋อจินโมโหเดือดดาล ด่าทอเจวี่ยนเอ๋อร์หลียกใหญ่ เจวี่ยนเอ๋อร์หลีตกใจเสียขวัญมาก พยายามจะชดใช้ความผิดเต็มที่ แต่แม่นางเก๋อจินไม่ยอมรับฟัง ยืนกรานจะให้เจวี่ยนเอ๋อร์หลีย้ายออกจากห้องนอนของนางประเดี๋ยวนี้เลย พวกนางสองคนทะเลาะกันไม่เลิกราทำให้คนในหอตื่นตกใจไปด้วยแล้ว เอ้อต้าเหนียง ว่อต้าเหนียง แล้วก็เถ้าแก่เร่งไปเกลี้ยกล่อมอยู่นานก็ไม่มีประโยชน์ จำต้องให้ข้าน้อยมาสอบถามซื่อจื่อ เอะอะโวยวายอย่างนี้ต่อไปก็ไม่สมควร จะให้พวกนางสองคนแยกห้องกันอยู่ได้หรือไม่”
คนร่วมโต๊ะอาหารต่างตะลึงงัน เดิมทีเจวี่ยนเอ๋อร์หลีพักอาศัยอยู่เรือนหลังเดียวกับเหล่าหญิงคณิกาอายุน้อย แต่เพราะโดนมารผีดิบจับจ้องอยู่ ลิ่นเฉิงโย่วจึงจัดให้นางย้ายมาพักอยู่ห้องเดียวกับเก๋อจินชั่วคราว ส่วนเถิงอวี้อี้นั้นพักอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามกับพวกนาง เมื่อเป็นเช่นนี้เวลามารผีดิบบุกมาแผลงฤทธิ์จะได้ดูแลพวกนางง่ายสักหน่อย
อาเหยียนมีทักษะรู้จักสังเกตสีหน้าคน อีกทั้งนับว่าพอมีฝีปากฉะฉานใช้ได้ เผยสีหน้าลำบากใจแล้วเอ่ย “เถ้าแก่บอกว่าความจริงเรื่องจุกจิกเช่นนี้ไม่ควรมารบกวนซื่อจื่อ แต่ซื่อจื่อเคยสั่งเอาไว้ เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับแม่นางเก๋อจินไม่อาจย้ายที่พักได้ตามอำเภอใจ ดังนั้นเถ้าแก่จึงตั้งใจให้ข้าน้อยมาขอคำแนะนำจากซื่อจื่อ”
ลิ่นเฉิงโย่วตอบรับอย่างไม่ลังเล “ในเมื่อทะเลาะกันขึ้นมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกนางสองคนแยกกันอยู่เถอะ แต่เจวี่ยนเอ๋อร์หลีผู้นั้นจะย้ายออกไปอยู่ไกลมากไม่ได้ หาห้องพักให้นางบนระเบียงทางเดินเส้นนั้นแล้วกัน ระยะห่างไม่ให้เกินสองห้อง ประเดี๋ยวจะดูแลกันได้ไม่ทั่วถึง จัดการเรียบร้อยแล้วให้มาบอกเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ พวกเขาจะไปวาดยันต์ติดนอกประตูห้องให้ใหม่”
อาเหยียนค้อมกายลงรับฟังคำสั่ง “ทำให้ซื่อจื่อต้องขบขันแล้ว หลังแม่นางเก๋อจินเสียโฉมก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่ก่อนใครๆ ก็ชื่นชอบนาง ตอนนี้นางกลับกลายเป็นหญิงคลุ้มคลั่ง แต่ว่าจะโทษนางก็ไม่ได้…” ทันใดนั้นก็สะดุ้งตกใจจนตัวสั่น แล้วส่งยิ้มประจบประแจง “ข้าน้อยปากมากจริงเชียว เรื่องพวกนี้คิดว่าซื่อจื่อคงสืบทราบมาหมดแล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วอุทานออกมาคำหนึ่ง “ข้าชอบคนปากมากอย่างเจ้านี่ล่ะ! ฟังเรื่องแปลกใหม่เพิ่มเติมบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เจ้าแค่พูดมาก็พอ นึกเรื่องอะไรได้ก็เล่าออกมา เล่าได้ดีจะมีรางวัลให้”
อาเหยียนมีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมาทันที ถูมือไปมาอย่างเบิกบานใจ เค้นสมองขบคิดรอบหนึ่งก็เผยสีหน้าทุกข์ระทม “ข้าน้อยมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง ยิ่งอยากจะพูดยิ่งคิดอะไรไม่ออก ไม่อย่างนั้นซื่อจื่อถามข้าน้อยสักสองสามคำถามได้หรือไม่ขอรับ”
เจี้ยนเล่อยิ้มหน้าระรื่น “เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว อันที่จริงดาวเด่นในหอของพวกเจ้าก็มีการแบ่งระดับชนชั้น ในเมื่อเก๋อจินมาอยู่หอไฉ่เฟิ่งของพวกเจ้าได้ไม่นาน ก่อนนางจะมาแม่นางคนใดที่มีอำนาจมากที่สุด”
“เรียนท่านนักพรต ก่อนแม่นางเก๋อจินจะมา เดิมทีเว่ยจื่อกับเหยาหวงมีอำนาจมากที่สุด พอแม่นางเก๋อจินมาถึง สองคนนี้ก็ถูกกดข่มลงไป ฟังจากเถ้าแก่ได้ความว่าหากแม่นางเก๋อจินไม่เกิดเรื่อง เดือนนี้ก็จะได้รับการตัดสินชื่อเป็น ‘ยอดบุปผา’ แล้ว ถึงเวลานั้นเพียงแค่ค่าสุราแม่นางเก๋อจินก็ได้ส่วนแบ่งสองพันเฉียน นี่ยังไม่นับรวมรางวัลอื่นอีก หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพียงไม่กี่ปีแม่นางเก๋อจินก็ไถ่ตนเองได้แล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าวูบเดียวทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่า”
ห้านักพรตถามขึ้น “เว่ยจื่อ? เหยาหวง? สองคนนั้นที่ล้มป่วยอยู่ใช่หรือไม่ ข้าจำได้ว่าวันนี้ตอนซื่อจื่อเรียกแม่นางทั้งหลายในหอไปแช่น้ำในถัง สองคนนี้อ้างว่าป่วยจึงพักผ่อนอยู่ในห้อง เมื่อซื่อจื่อเรียกตัวถึงยินยอมออกมา”
“เป็นพวกนางสองคนนี่ล่ะ แม่นางเว่ยจื่อเชี่ยวชาญทั้งการร่ายรำทั้งบทกวี ตอนหอไฉ่เฟิ่งยังไม่เปิดกิจการก็มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว อย่ามองว่านางรูปร่างอวบอิ่มกว่าแม่นางคนอื่น ยามร่ายรำกลับคล่องแคล่วพลิ้วไหวอย่างยิ่ง โดยเฉพาะระบำหูเสวียน ถึงแม้จะมอบลูกกลมขนาดเล็กเพียงใดให้ นางก็สามารถหมุนเหนือศีรษะได้ดุจนกโบยบิน
ส่วนแม่นางเหยาหวง ยิ่งไม่ต้องพูดให้มากความ รูปโฉมและความสามารถล้วนโดดเด่นกว่าใคร ยามขับขานบทเพลงไพเราะน่าฟังดุจนกขมิ้นบนต้นไม้ไม่มีผิด นอกจากนี้นางยังมีพรสวรรค์เป็นเลิศอีกอย่าง นั่นก็คือสามารถเลียนเสียงร้องของลิงกับนกได้ จากที่นางเล่ามาตอนยังเล็กเคยเรียนรู้ศิลปะการเปล่งเสียงจากบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่ง ดังนั้นจะให้เลียนเสียงอะไรก็ได้ทั้งนั้น จำได้ว่าหอไฉ่เฟิ่งเปิดกิจการสองสามเดือนแรกคุณชายตระกูลแม่ทัพพวกนั้นยังมาที่นี่เพราะนางเลย”
เจี้ยนเทียนถามขึ้นว่า “พวกนางสองคนเริ่มป่วยเมื่อใดกัน”
“แม่นางเว่ยจื่อล้มป่วยมาหลายวันแล้ว ส่วนแม่นางเหยาหวงตกใจเสียขวัญเช้าวันนี้หลังรู้เรื่องชิงจือกระโดดบ่อน้ำขอรับ”
ห้านักพรตสีหน้าผิดแผกไปเล็กน้อย นี่จะล้มป่วยได้ประจวบเหมาะไปหรือไม่
เจี้ยนสี่เอ่ยถามขึ้นอีก “พวกนางกับแม่นางเก๋อจินสนิทสนมกันดีหรือไม่”
อาเหยียนหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “ปกติข้าน้อยรับผิดชอบเพียงการต้อนรับและส่งแขกหน้าประตู กว่าจะได้พบเจอแม่นางในหอช่างยากเย็น ดาวเด่นเลื่องชื่อสองสามนางนี้ยิ่งเป็นคนสำคัญดั่งเทพเซียน บางครั้งข้าน้อยได้เห็นแวบหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางเป็นอย่างไรข้าน้อยก็ไม่อาจรู้ได้ขอรับ”
เจี้ยนเทียนยังซักไซ้อย่างไม่ยอมแพ้ “แม่นางเก๋อจินถูกทำร้ายเสียโฉมเป็นเรื่องใหญ่ ช่วงหลายวันนั้นหอไฉ่เฟิ่งของพวกเจ้าจะต้องโกลาหลวุ่นวายแน่ คืนนั้นเว่ยจื่อกับเหยาหวงอยู่ที่ใด ไม่มีใครสงสัยพวกนางเลยหรือ”
อาเหยียนตกตะลึงอ้าปากค้าง “บอกว่าเป็นฝีมือวิญญาณอาฆาตไม่ใช่หรือขอรับ ในหอวุ่นวายอยู่ตั้งหลายวัน วิญญาณหญิงสาวดวงนั้นมีคนเคยพบเห็นไม่น้อย”
“เถ้าแก่ของพวกเจ้าก็เชื่อคำกล่าวอ้างเช่นนี้ด้วย ยอดบุปผาประจำหออยู่ๆ โดนทำร้ายเสียโฉม เขาไม่รู้สึกเสียดายคนก็ต้องรู้สึกเสียดายเงินบ้าง หลังเกิดเรื่องไม่เคยคิดเรียกผู้ใดมาซักถามเลยหรือ”
ยามนี้เองลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยปากเล่าอย่างไม่รีบร้อน “ถามแล้ว คืนนั้นเว่ยจื่อไปร่วมงานเลี้ยงเป็นเพื่อนรองเสนาบดีหลินแห่งกรมอากร ส่วนเหยาหวงไปร่วมงานชมโคมไฟกับคุณชายใหญ่เว่ยบุตรชายหนิงอันป๋อ* ที่สระฉวี่เจียง คนที่ติดตามไปมีจำนวนมาก เที่ยวเล่นยามพลบค่ำ วันต่อมาถึงกลับ”
ห้านักพรตนิ่งอึ้งไป “ที่แท้ซื่อจื่อตรวจสอบมาก่อนแล้ว”
อาเหยียนยิ้มเจื่อน “ความจริงเถ้าแก่ของพวกเราก็เคยเรียกคนในหอมาซักถามทีละคนนะขอรับ จะบังเอิญก็ตรงที่ดาวเด่นหลายคนนั้นหากไม่อยู่เป็นเพื่อนแขกที่หอหน้า ก็ติดตามแขกออกไปข้างนอก กลับไม่พบใครน่าสงสัยสักคน รวมกับเรื่องในหอมีผีสิงเป็นเรื่องจริง เถ้าแก่ถึงได้เชื่อว่าแม่นางเก๋อจินถูกวิญญาณอาฆาตทำร้ายบาดเจ็บ”
เถิงอวี้อี้นั่งฟังอย่างสงบมาระยะหนึ่ง ร่างกายยิ่งร้อนผ่าวขึ้นทุกขณะ แม้อยากจะฟังบ่าวรับใช้ผู้นี้เล่าเรื่องให้ละเอียด ทว่าจนใจที่เหงื่อแตกพลั่กไม่ยอมหยุด เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องนี้จึงอดเอ่ยถามไม่ได้ว่า “ตอนเที่ยงวันข้าดื่มน้ำชาอยู่ที่หอหน้า คลับคล้ายได้ยินคนพูดว่าช่วงนี้ชิงจือใช้เงินฟุ่มเฟือยขึ้นมาก หอไฉ่เฟิ่งก็มีคนทั้งหมดอยู่เท่านี้ เจ้าอาจไม่คุ้นเคยกับเหล่าดาวเด่นในหอ แต่ก็น่าจะสนิทสนมกับชิงจืออยู่บ้าง เจ้ารู้หรือไม่ว่านางไปได้เงินมาจากที่ใดกัน”
อาเหยียนกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ชิงจือมีเงินใช้ฟุ่มเฟือย? มิน่าเล่าช่วงที่ผ่านมานางเด็กผู้นี้ไม่มาขอดื่มสุรากับพวกเราแล้ว คุณชายไม่รู้อะไร สาวใช้ชื่อชิงจือนางนี้บางครั้งท่าทางทึ่มๆ ดูไม่มีเล่ห์เหลี่ยม บางครั้งฉลาดทันคน ข้อเสียสำคัญที่สุดของนางคือความตะกละ พอเจอสุราอาหาร หลอกขอกินได้เป็นหลอก แย่งกินได้เป็นแย่ง ตอนนางรับใช้อยู่ข้างกายแม่นางเก๋อจินเดิมทีมีหน้ามีตานักล่ะ หลังแม่นางเก๋อจินถูกทำร้ายเสียโฉม สถานะบ่าวไพร่ระดับล่างก็พลอยตกต่ำลงตามไปด้วย ชิงจือก็ไม่กล้าไปขโมยอาหารที่ห้องครัว ได้แต่ขอกินขอดื่มตามห้องนั้นห้องนี้ไปทั่ว ไล่เท่าไรก็ไล่ไม่ไป ใครต่อใครเห็นหน้านางก็รู้สึกรำคาญ คุณชายพูดเช่นนี้ขึ้นมาข้าน้อยจึงนึกขึ้นมาได้ หลายวันก่อนหน้านี้นางมีท่าทางผิดปกติอยู่สักหน่อยจริงๆ สีหน้ายิ้มแย้มเหมือนดอกไม้บานอย่างกับเก็บสมบัติล้ำค่ามาได้”
เถิงอวี้อี้มองหน้าลิ่นเฉิงโย่ว ประหลาดใจที่เห็นสีหน้าเขาสงบราบเรียบ ดูไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย
“ระยะนี้ปีศาจออกอาละวาด คนในหอต่างตกอยู่ในอันตราย นางมีเรื่องอะไรให้ดีใจถึงเพียงนั้นกัน เคยมีคนมาหานางหรือไม่ หรือว่าเมื่อไม่นานมานี้ได้ไปรู้จักพบเจอกับผู้ใดเข้า”
“น่าจะไม่มีขอรับ” อาเหยียนไตร่ตรองอย่างรอบคอบ “หลังแม่นางเก๋อจินเสียโฉมข้างกายขาดคนไม่ได้ ตอนแรกชิงจือยังตั้งตารอให้แม่นางเก๋อจินกลับมารูปโฉมงดงามดังเดิม ดังนั้นจึงคอยปรนนิบัติรับใช้อย่างขยันขันแข็งเลยทีเดียว หลายวันก่อนยุ่งปานนั้น แค่จะนอนหลับให้สบายยังยาก จะหาโอกาสใดไปคบหาสหายเพิ่ม ต่อมาไม่นานก็เกิดเรื่องมีปีศาจโผล่มา หอไฉ่เฟิ่งโดนสั่งปิด คนในหอไม่มีโอกาสออกไปข้างนอกเลย ชิงจือก็ไม่มีข้อยกเว้น มิหนำซ้ำที่ผ่านมาข้าน้อยก็อยู่หน้าประตูคอยรับส่งแขก ไม่เคยได้ยินเลยว่ามีคนมาหาชิงจือ”
“เรื่องพวกนี้ไม่แปลกใหม่มากพอ” ลิ่นเฉิงโย่วหมุนจอกสุราเล่น “ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ เจ้าลองคิดให้ดีๆ สิ ไม่อย่างนั้นเงินค่าสุราของข้าพวกนี้อยากจะตัดใจให้ก็คงทำไม่ลงแล้ว”
อาเหยียนเค้นสมองคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ “มีแล้วขอรับ ชิงจือชอบพูดว่าตนเองมีพี่สาวอยู่ผู้หนึ่ง ในอดีตสองพี่น้องพลัดพรากจากกัน เงียบหายไร้ข่าวคราวมาตลอด ปกติพอนางเก็บออมเงินได้จำนวนหนึ่งจะเอาไปใช้ไหว้วานคนสืบหาเบาะแสพี่สาวของนางจนหมด ว่อต้าเหนียงได้ยินเข้าจึงเอาแต่ดุด่าว่าชิงจือโง่เง่าเสียสติ บอกว่าชิงจือไม่มีพี่สาวสักหน่อย ในครอบครัวมีเพียงน้องสาวผู้เดียว ที่สำคัญน้องสาวนางตายไปนานแล้วตั้งแต่โดนขายออกไปโน่น ตอนนี้เรื่องก็ผ่านมาตั้งหลายปี จะไปมีพี่สาวมาจากที่ใดกันได้อีก”
ดูท่าทางลิ่นเฉิงโย่วจะสนใจเรื่องนี้มากทีเดียว เขาใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “ยังมีอีกหรือไม่”
อาเหยียนหนังศีรษะชาหนึบ แทบอยากจะรีดเค้นทุกสิ่งออกมาให้หมดไส้หมดพุง “ขอข้าน้อยคิดให้ดีก่อนขอรับ…ขอคิดให้ดีก่อน”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยเตือนสติเขา “ระยะนี้ชิงจือพูดจาอะไรแปลกๆ บ้างหรือไม่”