ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35
อาเหยียนเหม่อมองอากาศธาตุครุ่นคิดอยู่นานสองนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงดัง “มีขอรับ! จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งคุยเรื่องในหอมีผีสิงกันอยู่ ขณะทุกคนกำลังหวาดกลัว อยู่ดีๆ ชิงจือพูดขึ้นมาอย่างไร้ที่มาที่ไป บอกว่านางกับอนุภรรยาคนงามที่โดนฮูหยินเถ้าแก่ร้านคนก่อนบีบให้ฆ่าตัวตายเป็นคนบ้านเดียวกัน พวกเราตื่นตกใจกันถ้วนหน้า ถามนางเสียงสั่นๆ ว่า ‘เคยได้ยินแต่คนประจบสอพลอผู้สูงศักดิ์ ไม่เคยได้ยินว่าใครอยากจะเกี่ยวข้องกับคนตาย ตอนอนุภรรยาคนงามนั่นกระโดดบ่อน้ำหอไฉ่เฟิ่งยังไม่เปิดกิจการเลยนะ ชิงจือ เจ้าเคยเจออนุภรรยาผู้นั้นที่ใด แล้วรู้ได้อย่างไรว่าตนเองกับนางเป็นคนบ้านเดียวกัน ชิงจือ เจ้าโดนขายมาตั้งหลายปีแล้ว จำได้หรือว่าตนเองมาจากที่ใด’ ทุกคนรุมซักถามนางชุดใหญ่ ชิงจือกลับกระโดดลงจากบันไดวิ่งหนีไปอย่างภูมิใจหนักหนา ก็ไม่รู้ว่านางมีอะไรให้ภูมิใจกัน รู้จักคนตายผู้หนึ่งทำเหมือนได้สมบัติอย่างไรอย่างนั้น”
เดิมทีลิ่นเฉิงโย่วท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย พอได้ยินดังนั้นแล้วสีหน้าพลันเคร่งขรึมลง “คนบ้านเดียวกัน? ชิงจือบอกว่านางกับอนุภรรยาของเถ้าแก่คนก่อนเป็นคนบ้านเดียวกันหรือ”
“ใช่ขอรับ แต่เด็กอย่างชิงจือชอบคุยโวอยู่แล้ว คำพูดของนางจึงมีไม่กี่คนที่เชื่อ ไม่แน่ว่าอาจเห็นทุกคนกลัวผีถึงจงใจเล่าเรื่องนี้ข่มขวัญ ทุกคนไม่อยากให้นางได้หน้า หมดเรื่องก็เลยไม่มีใครซักถามให้ละเอียด”
ลิ่นเฉิงโย่วแววตาสาดประกายดั่งสายฟ้า “เจ้าลองคิดดูให้ดีอีกครั้ง หลังจากนั้นชิงจือเคยพูดจาทำนองนี้อีกหรือไม่”
อาเหยียนตื่นตกใจ ทุกครั้งเวลาพบหน้าซื่อจื่อผู้นี้จะเห็นเขาพูดคุยยิ้มแย้มเสมอ ท่าทางสง่าผ่าเผยเจ้าสำราญ สีหน้าเคร่งขรึมวาจาเร่งรัดเช่นนี้ทำให้คนจิตใจหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
เขากุมศีรษะขบคิดสุดกำลัง แต่ยิ่งร้อนรนก็ยิ่งคิดไม่ออก สุดท้ายก็ส่ายหน้าแล้วฝืนยิ้ม ขณะจะเอ่ยปากพลันมีเสียงคนเรียกจากข้างนอก “อาเหยียน เจ้ามัวชักช้าอะไรอยู่ เถ้าแก่เรียกหาเจ้าน่ะ”
“ไปแล้วๆ จะไปประเดี๋ยวนี้” อาเหยียนขานรับอย่างลนลาน พร้อมทั้งส่งเสียงหัวเราะแห้งแล้ง “ซื่อจื่อ…”
ลิ่นเฉิงโย่วควักเงินพวงหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อโยนให้อาเหยียน “เรื่องที่พูดมาในคืนนี้ ออกไปแล้วอย่าไปพูดให้ผู้อื่นฟังอีก หากนึกอะไรออก ไม่ว่ายามใดให้รีบมาหาข้าทันที”
อาเหยียนเดินจากไปอย่างดีอกดีใจ ตอนนี้เองลิ่นเฉิงโย่วถึงได้ฉีกซองจดหมายข้างตัว
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อถามเสียงแผ่วเบา “ศิษย์พี่ เป็นจดหมายจากลั่วหยางหรือ สืบหาเบื้องหลังนักพรตในลั่วหยางผู้นั้นได้แล้วใช่หรือไม่”
ลิ่นเฉิงโย่วไม่เอ่ยตอบคำ เพียงกวาดสายตาอ่านจดหมายจนจบอย่างรวดเร็ว แววตาจดจ้องนิ่งงัน ต่อมาจึงหันหน้าไปมองรูปปั้นเทพเด็กยืนบนดอกบัวหลังโต๊ะเซ่นไหว้ แล้วลุกขึ้นเดินวนเวียนรอบรูปปั้นนั้น
ความคิดของพวกเจี้ยนสี่ยังติดอยู่กับคำบอกเล่าของอาเหยียน พวกเขาเอ่ยปากซุบซิบกัน “ข้าฟังมาตั้งนาน เหตุใดรู้สึกว่าชิงจือผู้นี้แปลกๆ เรื่องใบหน้าเสียโฉมของแม่นางเก๋อจินจะเป็นฝีมือนางหรือไม่”
เจี้ยนเทียนกระดกดื่มน้ำแกงผักฉุนไช่* ดังอั้กๆ จนหมดชาม แล้วกล่าวโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “เจ้าโง่ จะเป็นใครก็ไม่มีทางเป็นชิงจือ อย่าลืมว่าชิงจือเป็นสาวใช้ประจำตัวของแม่นางเก๋อจิน ตอนวิญญาณอาฆาตดวงนั้นข่วนหน้าแม่นางเก๋อจินก็สบถด่าเสียงดังลั่นเช่นนั้น หากเป็นเสียงชิงจือจริงๆ แม่นางเก๋อจินคงฟังออกนานแล้ว”
“ก็ถูกนะ” เจวี๋ยเซิ่งเกาศีรษะแกรกๆ “ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นแม่นางเว่ยจื่อหรือแม่นางเหยาหวง ถึงอย่างไรพวกนางก็จะได้เป็นยอดบุปผาอยู่แล้ว พอแม่นางเก๋อจินมาถึงได้พังหมด”
เจี้ยนเหม่ยตอบเสียงรื่นเริง “เมื่อครู่นี้ศิษย์พี่ของพวกเจ้าบอกแล้วอย่างไรเล่า พวกนางสองคนไม่ได้อยู่ในหอแต่แรก ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังมีรองเสนาบดีหลินกับคุณชายใหญ่เว่ยเป็นพยานด้วย”
“แต่เรื่องนี้ก็ประจวบเหมาะเกินไป จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าสองคนนี้อยากหลุดพ้นความผิดจึงไปขอร้องให้รองเสนาบดีหลินกับคุณชายใหญ่เว่ยช่วยพวกนางโกหก หญิงงามดั่งบุปผาลือเลื่อง อาจพบเจอแต่ไม่อาจคว้ามาครอง พวกเขาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากไม่ใช่หรือ บางทีเว่ยจื่อกับเหยาหวงร้องห่มร้องไห้ไม่กี่คำ รองเสนาบดีหลินกับคุณชายใหญ่เว่ยก็ใจอ่อนรับปากแล้ว”
เวลานี้เถิงอวี้อี้ดื่มน้ำอ้อยเย็นเฉียบไปตั้งมากแล้ว แต่ความร้อนรุ่มในร่างกายยังไม่บรรเทาลง ได้ยินพวกเขายิ่งพูดจายิ่งพิลึกพิลั่นเข้าไปทุกทีจึงอดเอ่ยปากไม่ได้ “อย่าลืมสิว่าแม่นางเว่ยจื่อไปร่วมงานชุมนุมกวี งานเลี้ยงเช่นนี้มักมีแขกเหรื่อมากมาย คืนนั้นหากเว่ยจื่อไม่อยู่ในงาน ลองไปสอบถามดูก็รู้เรื่องแล้ว ต่อให้รองเสนาบดีหลินอยากช่วยปิดบังแทนนาง ก็คงไม่มีทางกล่าวคำโกหกเลอะเทอะอย่างนี้หรอก สำหรับแม่นางเหยาหวงที่ไปงานชมโคมไฟริมสระฉวี่เจียง เรื่องนี้ไม่เพียงมีคุณชายใหญ่เว่ยเป็นพยาน ยังมีผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งด้วย”
เจี้ยนเทียนเมื่อท้องอิ่มจึงเรอเสียงดังก่อนกล่าวว่า “คุณชายหวังพูดถูกต้อง ข้าขอเตือน พวกเจ้าพูดให้น้อยๆ เถอะ เรื่องที่พวกเจ้าคิดออก ซื่อจื่อกับขุนนางศาลต้าหลี่พวกนั้นคงตรวจสอบไปนานแล้ว”
เจี้ยนเล่อเอ่ยขึ้นอย่างตื่นตระหนก “ใช่แล้ว ชิงจือมักจะบอกว่าตนเองมีพี่น้อง เมื่อครู่บ่าวรับใช้ในหอคนนั้นยังบอกอีกว่าชิงจือเคยพูดว่านางกับอนุภรรยาคนงามของเถ้าแก่ร้านผ้าไหมเป็นคนบ้านเดียวกัน คงไม่ใช่ว่าอนุภรรยาคนงามนั่นคือพี่น้องของนางหรอกนะ”
เถิงอวี้อี้แหงนหน้ามองฟ้าพร้อมถอนหายใจยืดยาว
ชี่จื้อหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “หลายปีมานี้ชิงจือคิดถึงพี่น้องผู้นั้นของนางมาตลอด จู่ๆ ได้ข่าวว่าพี่น้องของนางตายไป ทั้งยังตายอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ ยังร้องไห้เสียใจแทบไม่ทัน แล้วจะมา ‘ภูมิใจหนักหนา’ ได้อย่างไร”
เจี้ยนเล่อโบกมืออย่างหงุดหงิด “ไม่คาดเดาแล้วๆ เดิมทีพวกเราฉลาดหลักแหลมมากนะ ดื่มสุราไปถึงได้เลอะเลือนอย่างนี้ อีกอย่างพวกเราไม่ใช่ขุนนางฝ่ายกฎหมายเสียหน่อย จะคาดเดาไม่ถูกก็ไม่เห็นแปลก”
เถิงอวี้อี้ชำเลืองมองลิ่นเฉิงโย่ว ตอนนางเอ่ยขึ้นมาว่าชิงจือมีพี่น้องผู้หนึ่ง ลิ่นเฉิงโย่วไม่หันหน้ากลับมาด้วยซ้ำไป ทั้งที่เขาสนใจเรื่องของชิงจือมากแท้ๆ กลับแสดงท่าทีนิ่งเฉยปานนี้ มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวคือเขาได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้ว
เถิงอวี้อี้ลูบหนวดปลอมของตนเอง หากชิงจือถูกคนฆ่าตาย คนร้ายจนถึงตอนนี้ยังไม่โดนจับกุม ในเมื่อลิ่นเฉิงโย่วกำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ นางรู้สึกว่าจำเป็นต้องเล่าเรื่องที่ตนเองรู้มาให้ฟัง
“ได้ยินว่าชิงจือซ่อนห่ออิงเถาอบแห้งเอาไว้ในห้องห่อหนึ่ง ด้านบนใส่ของกินไว้ แต่ด้านล่างกลับซ่อนเครื่องประดับของมีค่าจำนวนหนึ่ง วันนั้นหลังถูกคนพบเห็นเข้านางก็พูดโกหกออกมาว่าคนรู้จักเก่าแก่ส่งมาให้”
ลิ่นเฉิงโย่วนั่งยองลงตรวจสอบใต้โต๊ะวางเครื่องเซ่นไหว้ ได้ยินเรื่องนี้แล้วยังไม่ยอมหันหน้ากลับมา เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจเรื่องนี้สักนิด
เถิงอวี้อี้เลิกคิ้วขึ้น เรื่องนี้เขาก็เคยได้ยินมาแล้ว?
นางได้ยินเรื่องนี้จากปากเป้าจูเชียวนะ คนที่ไปพบเห็นชิงจือเข้าก็คือเป้าจู เช่นนั้นคนที่บอกเรื่องนี้กับลิ่นเฉิงโย่วก็คงมีแต่เป้าจูเองแล้ว
ทุกคนกวาดสายตามองไปทางลิ่นเฉิงโย่วอย่างพร้อมเพรียง ไม่รู้ว่าในจดหมายจากลั่วหยางฉบับนั้นเขียนอะไรเอาไว้ หลังลิ่นเฉิงโย่วอ่านจบถึงได้เอาแต่เพ่งพินิจรูปปั้นเทพเด็กองค์นั้นมาตลอด
ห้านักพรตเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วยความอยากรู้ “ซื่อจื่อ จดหมายฉบับนั้นใครส่งมาหรือ”
ลิ่นเฉิงโย่วตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “จำได้หรือไม่ว่าตอนเฮ่อหมิงเซิงเพิ่งซื้อขาดหอแห่งนี้ เพราะไม่อาจทนกับผีร้ายออกอาละวาดในหอได้จึงเชิญผู้วิเศษจากลั่วหยางมาท่านหนึ่งโดยเฉพาะ ห้องพระแห่งนี้ก็เป็นจุดที่ผู้มีวิชาผู้นั้นสั่งคนให้สร้างขึ้นมา”
เถิงอวี้อี้มองสำรวจโต๊ะเซ่นไหว้ คืนนั้นคุณชายเสื้อทองคำกลายร่างเป็นงูสีทองตัวหนึ่ง ต่อสู้กับลิ่นเฉิงโย่วเป็นพัลวันจนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ศาลเจ้าขนาดเล็กแห่งนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก รูปปั้นเทพเด็กองค์นี้ก็พลอยล้มคว่ำลงมาจากแท่นวาง แม้ตอนนี้จะถูกจับตั้งขึ้นไปอย่างเดิมแล้ว ทว่าสีเคลือบก็หลุดล่อนไปไม่น้อย
เจี้ยนเทียนกอดอกพลางเอ่ยว่า “ค่ายกลนี้ไม่มีปัญหานะ เป็นค่ายกลเทพไท่ไป๋* ปราบมารที่ถูกต้องเหมาะสม รูปปั้นหล่อขึ้นรูปได้ไม่เลวเลย ยันต์ก็วาดได้ประณีตเรียบร้อยดี หากไม่ใช่เพราะข้างใต้นั้นบังเอิญสะกดมารผีดิบกับคุณชายเสื้อทองคำไว้ ค่ายกลนี้ก็เพียงพอจะคุ้มครองให้หอนี้สงบสุขปลอดภัยได้แล้ว แต่ว่าเรื่องนี้ก็โทษผู้มีวิชาท่านนั้นไม่ได้ ใครจะคิดว่าที่นี่กลับสะกดปีศาจร้ายเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนเอาไว้”
“ข้าก็มองไม่ออกเช่นกันว่ามีปัญหา” ลิ่นเฉิงโย่วมองสำรวจร่องรอยที่เหลือของผงชาดบริเวณรอบนอกตาค่ายกล “แต่เมื่อครู่จดหมายจากลั่วหยางบอกว่าพวกเขาตามหาไปทั่วลั่วหยางแล้ว ก็ยังตามหาผู้มีวิชาผู้นี้ไม่พบ”
ห้านักพรตตะลึงงัน “ออกพเนจรทั่วทิศไปแล้ว?!”
“หลายวันก่อนหน้านี้เฮ่อหมิงเซิงเคยไปลั่วหยางเที่ยวหนึ่ง ก็ตามหาผู้มีวิชาผู้นี้ไม่พบมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ข้าไม่แปลกใจที่คนผู้นี้จะไม่ปรากฏร่องรอยแน่ชัด เพียงรู้สึกว่าช่วงเวลาที่เขาหายตัวไปมันประจวบเหมาะยิ่ง”