ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35
หลังจากเถิงอวี้อี้ดื่มน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิง ไอร้อนในร่างกายก็เพิ่มพูนไม่หยุดหย่อน อดทนมาถึงตอนนี้จนเหงื่อเปียกเสื้อผ้าตัวในชุ่มโชกไปหลายชั้นแล้ว เนื้อตัวจึงเหนียวเหนอะหนะเป็นพิเศษ ราวกับนั่งจมอยู่ในกองดินโคลน นางโบกพัดไล่เหงื่อแล้วลุกขึ้นยืน “ขออภัยด้วย ข้าน้อยรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก จำเป็นต้องกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย ทุกท่านค่อยๆ พูดคุยกันไปเถิด ข้าน้อยต้องขอตัวก่อนแล้ว”
ห้านักพรตไม่คาดคิดว่าเถิงอวี้อี้บอกจะไปก็ไป ยังไม่ทันเอ่ยปากรั้งตัวเอาไว้เลย
ลิ่นเฉิงโย่วหันหน้าไปมองเถิงอวี้อี้ที่เดินจากไป เดิมทีคิดจะบอกอะไรบางอย่าง แต่เถิงอวี้อี้เร่งฝีเท้าเดินออกจากประตูไปไม่เหลียวหลังกลับมามองด้วยซ้ำ
พอเดินออกมาข้างนอก สายลมยามค่ำคืนโชยมาปะทะ นอกจากเถิงอวี้อี้จะไม่รู้สึกดีขึ้นแล้วกลับเหงื่อไหลไคลย้อยยิ่งกว่าเก่า ร่างกายประหนึ่งมีพลังปราณล้นทะลักยามก้าวเดิน เพียงก้าวเดียวฉับไวเท่ากับสามก้าวในเวลาปกติ
ร่างกายนางเบาหวิวดุจเหินบิน กึ่งเดินกึ่งโจนทะยานไปตลอดทาง ไม่นานก็ทิ้งห่างลุงเฉิงกับฮั่วชิวอยู่ข้างหลังไกลๆ
ลุงเฉิงกับฮั่วชิวทั้งตกใจปนสงสัย เหตุใดจู่ๆ คุณหนูถึงมีท่าร่างคล่องแคล่วปราดเปรียวขึ้นมากปานนี้ พวกเขากลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันจึงรีบสูดลมหายใจเข้าแล้วไล่ตามไป โชคดีที่ถึงแม้เถิงอวี้อี้จะฝีเท้าว่องไว ทว่ากำลังภายในกลับไม่เพียงพอ หลังพวกเขาใช้กำลังภายในเสริม ไม่กี่อึดใจก็ไล่ตามมาทัน
เถิงอวี้อี้รู้สึกได้ว่าไอร้อนผ่าวสายหนึ่งในร่างตนเองไหลเวียนสะเปะสะปะไปหมด หน้าอกร้อนจัดคล้ายจะระเบิดออกมา ต้องออกแรงวิ่งห้อตะบึงถึงจะระบายพลังประหลาดไร้ที่มาสายนี้ออกไปได้ นางวิ่งปร๋อกลับสระหนานเจ๋อไวปานสายลม ขณะวิ่งผ่านห้องของเก๋อจินนั้นบังเอิญเห็นเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูขนย้ายผ้าห่มกับที่นอนออกมาจากข้างใน
บริเวณระเบียงทางเดินเสียงดังวุ่นวาย มีผู้คนยืนมุงดูอยู่ไม่น้อย บางคนพูดจาโน้มน้าวเก๋อจิน บางคนพูดจาให้เจวี่ยนเอ๋อร์หลีคลายโทสะ บางคนพูดจาประชดประชัน บางคนพูดจาถนอมน้ำใจทั้งสองฝ่าย ส่วนเก๋อจินสีหน้าเย็นเยียบปานเกล็ดน้ำค้างแข็ง นั่งนิ่งไม่ขยับอยู่ริมหน้าต่าง
หากเป็นเวลาปกติเถิงอวี้อี้จะต้องอยู่ชมเรื่องสนุกสักประเดี๋ยวหนึ่ง ทว่ายามนี้กลับไม่มีกะจิตกะใจจะทำเช่นนั้นแล้ว นางวิ่งฉิวกลับเข้าห้องของตน สั่งสาวใช้ข้างนอกให้ส่งน้ำสำหรับอาบเข้ามา ในห้องมีถังไม้อาบน้ำอยู่แล้ว ในหอก็มีน้ำร้อนเตรียมพร้อมอยู่เช่นกัน รอจนสาวใช้ยกน้ำร้อนมาเรียบร้อยเถิงอวี้อี้จึงปิดประตูอาบน้ำล้างหน้าล้างตัว แต่หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วไอร้อนในร่างก็ยังไม่บรรเทาเบาบางลงอยู่ดี
นางเท้าสะเอวเดินย่ำไปมาอยู่ในห้องอย่างกระวนกระวาย เสื้อผ้าชาวหูก็นำมาเพียงชุดเดียว ส่วนที่เหลือเป็นเสื้อหลันซานกับหมวกผ้าของบุรุษจงหยวน ไม่มีเวลาจะมาตกแต่งใบหน้าแล้ว นางรื้อค้นหาเสื้อผ้าบุรุษสะอาดสะอ้านชุดหนึ่งมาผลัดเปลี่ยน จากนั้นสวมกระดิ่งเสวียนอินแล้วกระชากประตูเปิดออก “ลุงเฉิง ฮั่วชิว”
เถิงอวี้อี้เพิ่งจะเปิดประตูก็ต้องสะดุ้งตกใจ ไอร้อนจากจุดตันเถียน* พวยพุ่งขึ้นไปเหนือศีรษะ น้ำเสียงแหลมสูงกว่าปกติไม่น้อย
ลุงเฉิงกับฮั่วชิวกระโดดพรวดออกมาจากห้องข้างๆ มองเถิงอวี้อี้อย่างประหลาดใจ “คุณชาย?!”
เถิงอวี้อี้กระแอมกระไอสองคำ ก่อนกดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “พวกท่านไปเดินเล่นในสวนเป็นเพื่อนข้าสักหน่อย”
ไม่รอให้พวกเขาสองคนเอ่ยตอบคำเถิงอวี้อี้ก็กลับหลังหันเดินออกไปแล้ว แทนที่จะเรียกว่า ‘เดิน’ สู้เรียกว่า ‘วิ่ง’ เสียดีกว่า พอวิ่งมาถึงหน้าบันได เนื่องจากรีบร้อนจนไม่ได้มองทางตรงหน้าให้ชัดเจนจึงยั้งฝีเท้าเอาไว้ไม่ทัน ล้มคะมำไปข้างหน้าทั้งตัวอย่างน่าอเนจอนาถ
ลุงเฉิงกับฮั่วชิวตกใจจนหน้าถอดสี คนหนึ่งวิ่งถลาออกไปอย่างรวดเร็วปานลูกธนู คาดไม่ถึงว่าเถิงอวี้อี้กลับมาอยู่ในท่านั่งม้า** ท่ามกลางความแตกตื่นลนลาน จนทรงตัวยืนมั่นคงได้เองอย่างไม่น่าเชื่อ
ลุงเฉิงรู้สึกใจหายไปหลายรอบ “คุณหนู เช่นนี้มันผิดปกติแล้ว ฝีมือของท่าน…” เหตุใดถึงปราดเปรียวเป็นลิงเป็นค่างขึ้นมากะทันหันได้
เถิงอวี้อี้หายใจเหนื่อยหอบพลางมองสำรวจท่าทางแปลกประหลาดของตน แล้วกัดฟันกรอดเอ่ยว่า “จะต้องเป็นเพราะน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงนั่นออกฤทธิ์แน่! ลิ่น-เฉิง-โย่ว!”
ในตอนนี้เองเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อก็หอบยันต์ปึกใหญ่วิ่งมาทางนี้แล้ว
เด็กชายทั้งสองมองเห็นเด็กหนุ่มกิริยางามสง่า สวมเสื้อหลันซานคอกลมสีเขียวเข้มเกือบดำผู้หนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ มองแวบแรกยังไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด จนกระทั่งมองเห็นลุงเฉิงกับฮั่วชิวถึงตระหนักได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คือเถิงอวี้อี้
“เอ๋?! คุณชายหวัง เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่ได้”
ไฟโทสะในใจเถิงอวี้ร้อนแรงยิ่งกว่าไฟประหลาดในร่างหลายเท่า ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ไปคว้าแขนอวบอ้วนของเจวี๋ยเซิ่ง “ศิษย์พี่ของพวกท่านอยู่ที่ใด!”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อต่างตกใจ คุณหนูเถิงผิดปกติไปอย่างชัดเจน น้ำเสียงไม่นุ่มนวลรื่นหูเหมือนอย่างเคย ดวงตาก็ลุกวาว จ้องทีราวกับจะแผดเผาพวกตนอย่างไรอย่างนั้น
เจวี๋ยเซิ่งเอ่ยตอบอย่างอึ้งงันว่า “ศิษย์พี่โกรธจัดเพราะเรื่องเมื่อตอนบ่าย บอกว่าต้องลงโทษพวกเราให้หลาบจำ สั่งการพวกเราให้ไปติดยันต์นอกประตูห้องเจวี่ยนเอ๋อร์หลีก่อนค่อยกลับไปเก็บกวาดตาค่ายกลในศาลเจ้านั่น ยังบอกอีกว่าต่อให้คืนนี้พวกเราไม่ได้นอน ก็ต้องเก็บห้องสุสานที่ใช้สะกดปีศาจสองตนในอดีตให้สะอาด”
ชี่จื้อมองสำรวงเถิงอวี้อี้อย่างระแวดระวัง “คุณ…ชายหวัง ท่านเป็นอะไรไปหรือ”
“ข้าจะเป็นอะไรได้!” เถิงอวี้อี้โกรธจนยั้งอารมณ์ไม่อยู่ “ไม่ใช่เพราะเรื่องดีงามฝีมือศิษย์พี่ของพวกท่านหรือ พวกท่านบอกข้ามาตามตรง รากวิญญาณหยกเพลิงนั่นตกลงมีอะไรแปลกๆ ซ่อนอยู่กันแน่”
เด็กชายทั้งสองตกใจทำอะไรไม่ถูก “คุณชายหวังดื่มน้ำแกงแล้วไม่สบายหรือ ไม่ถูกสิ น้ำแกงนี้พวกเราก็ดื่มด้วย ลุงเฉิงกับพี่ฮั่วชิว ผู้อาวุโสอารามตงหมิงก็ดื่ม ทุกคนยังเป็นปกติดีอยู่เลย”
เถิงอวี้อี้ข่มกลั้นไฟโทสะพลางครุ่นคิด ช่างเถิด เรื่องนี้ต้องเป็นลิ่นเฉิงโย่วเล่นพิเรนทร์อะไรแน่ เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อก็บอกชัดเจนแล้ว ดังนั้นนางจึงอดทนข่มกลั้นแล้วพยักหน้ารับ ปล่อยแขนเจวี๋ยเซิ่งแล้วมุ่งหน้าไปต่อ
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อมองอย่างเหม่อลอย เตรียมจะตามไปอย่างร้อนใจ
ลุงเฉิงสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา “ท่านนักพรตทั้งสองคงจะเห็นแล้ว คุณชายของพวกเราตอนนี้ผิดปกติอย่างยิ่ง ก่อนกินอาหารยังสบายดีอยู่ ดื่มน้ำแกงไปแล้วถึงได้มีท่าทางแปลกไปเช่นนี้ ถ้านักพรตน้อยรู้อะไร ทางที่ดีรีบพูดออกมาดีกว่า”
“พวกเราไม่รู้จริงๆ” เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อกระทืบเท้า หันไปเห็นเถิงอวี้อี้วิ่งจ้ำอ้าวไปทางศาลเจ้าแล้ว พวกเขาจำต้องตลบชายเสื้อคลุมขึ้นวิ่งไล่ตามไป
“คุณชายหวัง รากวิญญาณหยกเพลิงเป็นสมุนไพรวิเศษซึ่งบันทึกอยู่ในคัมภีร์ที่สืบทอดกันมาของลัทธิเต๋า ไม่มีทางออกฤทธิ์ทำร้ายคนแน่นอน คุณชายหวัง ท่านไม่สบายตรงที่ใดกันแน่ จะใช่ไข้หนาวลมหรือไม่ ว่าตามกันหลักแล้วการกินรากวิญญาณหยกเพลิงนั้นมีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษเลยนะ”
“ข้าไม่สบายไปหมดทั้งตัวนั่นล่ะ” เถิงอวี้อี้รับรู้เพียงว่าในอกมีไอร้อนพลุ่งพล่าน ยามเอ่ยปากก็สามารถพ่นไฟร้อนแรงออกมาได้ หากพ่นใส่ต้นไม้ใบหญ้า ไม่แน่ว่าอาจจุดไฟลุกพึ่บไปทั้งสวน
นางปิดปากสนิทตามสัญชาตญาณ ประเสริฐนัก เจ้าสิ่งนี้ไม่เพียงทำให้คนมีพละกำลังมหาศาล ดูเหมือนยังปั่นป่วนจิตใจคนได้อีกต่างหาก นางรู้สึกเสมือนมีเสี่ยวหยาเข้าสิงร่าง หงุดหงิดฉุนเฉียวจนคิดแต่จะด่าทอผู้คน
“ท่านนักพรตเจี้ยนเซียนบอกแล้วไม่ใช่หรือ ม้วนคัมภีร์ที่บันทึกเกี่ยวกับรากวิญญาณหยกเพลิงหายสาบสูญไปครึ่งหนึ่ง บางทีโทษของสมุนไพรชนิดนี้อาจอยู่ในม้วนคัมภีร์อีกครึ่งหนึ่ง ในเมื่อลิ่นเฉิงโย่วกล้าไปเอารากวิญญาณหยกเพลิงมากิน จะต้องรู้แน่ว่าม้วนคัมภีร์ครึ่งนั้นเขียนสิ่งใดเอาไว้ ข้าจะไปซักถามเขาต่อหน้าว่าก่อนหน้านี้เขาเล่นลูกไม้อะไรกันแน่!”
ชี่จื้อรีบเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ไม่อยู่ในศาลเจ้านั่น”
เถิงอวี้อี้หยุดฝีเท้าโดยพลัน แล้วกลับหลังหันวิ่งไปทางประตูใหญ่ของสวนดอกไม้ “ไม่อย่างนั้นก็อยู่หอหน้า!”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเบิกตากว้าง ใต้ฝ่าเท้าคุณหนูเถิงเหมือนมีกงล้อลมแล่นฉิว ชั่วพริบตาเดียวก็วิ่งออกไปไกลลิบแล้ว พวกเขาสองคนอยากจะไปห้ามทัพอยู่หรอก แต่ก็ไม่อาจทิ้งเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับแม่นางเก๋อจินไปโดยไม่เหลียวแล จึงจำต้องหยุดยืนอยู่ที่เดิม มองดูเถิงอวี้อี้หายลับไปทางประตูเข้าสวนตาปริบๆ
เถิงอวี้อี้วิ่งพรวดเดียวมาถึงหอหน้า ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิทแล้ว หน้าระเบียงจุดโคมไฟให้แสงสว่าง ห้องโถงกลางมีเพียงบ่าวรับใช้กับบ่าวหญิงทำงานอยู่
เถิงอวี้อี้กวาดสายตามองหาไปทั่ว ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “พวกเจ้าเห็นเฉิงอ๋องซื่อจื่อบ้างหรือไม่”
หลายคนนั้นหันหน้ามามอง อดงุนงงขึ้นมาไม่ได้ ปกติเห็นเถิงอวี้อี้แต่งกายเช่นชาวหูจนชินตา เกือบจะมองไม่ออกว่าหนุ่มน้อยสะโอดสะองผู้นี้คือใคร
“โอ้ คุณชายหวังนี่เอง!” มีบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งได้สติกลับคืนมา ปั้นหน้ายิ้มแย้มเดินเข้ามาหา “ซื่อจื่ออยู่ที่ชั้นสองขอรับ”
เสียงของเขายังไม่ทันเงียบหาย ก็มีลมพัดวูบแฉลบผ่านหน้าไป ตรงหน้ายังมีเงาร่างเถิงอวี้อี้อยู่ที่ใดกัน