ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35
บ่าวรับใช้มีสีหน้ามึนงง ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นชั้นบนดัง ‘ตึง ตึง ตึง’ จึงมองตามไปอย่างฉงนใจ เห็นเถิงอวี้อี้ผลุนผลันวิ่งจากไป กระโจนถึงมุมเลี้ยวตรงบันไดแล้ว
เถิงอวี้อี้วิ่งตะบึงมาถึงชั้นสองอย่างรวดเร็ว นางจดจำแผนผังหอหน้าได้แม่นยำมานานแล้ว ชั้นสองเป็นห้องส่วนตัวหรูหราทั้งหมด ปกติจะมีแขกเข้าพักจนเต็ม ระยะนี้ว่างลงเพราะหอไฉ่เฟิ่งปิดตัวชั่วคราว
นางเดินค้นหาเลียบระเบียบทางเดิน จนแล้วจนรอดก็ยังมองหาลิ่นเฉิงโย่วไม่พบ กระทั่งผลักประตูห้องสุดท้ายเปิดผางก็ยังคงไม่เห็นเงาคน แต่โต๊ะริมหน้าต่างตัวหนึ่งมีโคมแก้ววางอยู่ หมายความว่าเคยมีคนมาที่นี่
เถิงอวี้อี้สาวเท้าเดินฉับๆ มาถึงริมหน้าต่าง โคมดวงเดียวดุจเมล็ดถั่วส่องแสงสลัวภายในห้อง บนโต๊ะตัวนั้นยังมีม้วนไม้ไผ่วางอยู่ม้วนหนึ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบันทึกเรื่องลี้ลับของอารามตงหมิง
เนื่องจากวิ่งมาตลอดทาง ร่างกายเถิงอวี้อี้จึงมีเหงื่อแตกพลั่กไม่รู้เท่าใด อาบน้ำไปเสียเปล่าโดยแท้ ไอร้อนจากเหงื่อลอยขึ้นมาจากขอบคอเสื้อ
นางเช็ดเหงื่อพลางเดินไปรอบห้องด้วยความกระวนกระวาย อยากจะสงบสติอารมณ์ลงก็ทำไม่ได้ จะว่าไปแล้วน่าแปลกนัก ก่อนหน้านี้ยังร้อนผ่าวไปทั้งตัว มาตอนนี้แม้กระทั่งใบหน้ายังรู้สึกคันยุบยิบ
“ลิ่นเฉิงโย่ว!”
เพราะไม่ได้ยินเสียงลิ่นเฉิงโย่วตอบกลับมา เถิงอวี้อี้จึงเหลียวมองไปโดยรอบอย่างหวาดระแวง คนทั้งคนอยู่ดีๆ ไม่มีทางหายไปกลางอากาศแน่ จึงเกาะขอบหน้าต่างมองออกไปภายนอก พลันได้ยินเสียงแกร๊กลอยมาจากด้านบน เหมือนมีคนกำลังเดินย่ำอยู่บนสันหลังคาแล้วไม่ทันระวังไปโดนกระเบื้องกระนั้น
หากเป็นยามปกติเถิงอวี้อี้จะต้องตกใจไม่น้อย แต่ยามนี้ในร่างมีพลังประหลาดค้ำจุนเอาไว้ ความ ‘ตกใจ’ จึงแปรเปลี่ยนเป็น ‘ความโกรธ’
น่าแปลกที่โสตประสาทก็ดีเยี่ยมกว่าเมื่อก่อนด้วย แต่พอตั้งใจฟังให้ดีแล้วกลับไม่อาจแยกแยะออกว่าคนผู้นั้นคือใคร ขณะกำลังจะตะโกนถามก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะลอยมาเหนือศีรษะแต่ไกล ไม่ใช่ลิ่นเฉิงโย่วแล้วจะเป็นใครได้
ไฟโทสะของเถิงอวี้อี้ลุกโชน นางเงยหน้าขึ้นเอ่ยปากเรียกคน “ลิ่นเฉิงโย่ว! เจ้าลงมานี่ประเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ครั้งนี้กลายเป็นเสียงคำรามแล้ว
ทว่าไม่รู้ลิ่นเฉิงโย่วไม่ได้ยินหรือจงใจไม่แยแสถึงได้ไม่ส่งเสียงตอบรับกลับมาสักคำ เถิงอวี้อี้ขยุ้มสาบเสื้อ ในอกประหนึ่งมีเตาไฟซ่อนอยู่ ทำให้เนื้อตัวนางร้อนระอุไปทุกส่วน หากมัวแต่ประวิงเวลาต่อไปจะต้องมีควันพุ่งออกมาจากทวารทั้งเจ็ดเป็นแน่
แต่ก็จนใจที่ไม่อาจปีนขึ้นไปบนหลังคาห้อง ทำได้เพียงเดือดเนื้อร้อนใจอยู่อย่างนี้ เถิงอวี้อี้กวาดสายตามองไปทั่วห้องอย่างว้าวุ่น ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นตำแหน่งชั้นหนังสือฝั่งหนึ่งอยู่ผิดที่ผิดทาง เดิมทีสมควรตั้งอยู่แนบติดผนังห้อง ขณะนี้กลับถูกคนลากออกมาครึ่งหนึ่ง
หัวใจเถิงอวี้อี้พลันสั่นไหว เดินเข้าไปจดจ้องเพ่งดูใกล้ๆ นางต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าบนชั้นหนังสือตั้งของสิ่งหนึ่งที่ดูคล้ายกลไกเอาไว้ ของสิ่งนี้จัดทำขึ้นอย่างโดดเด่นสะดุดตา คาดว่าปกติมีไว้ให้สำหรับเหล่าช่างฝีมือใช้เวลาขึ้นลงหลังคา
เถิงอวี้อี้ยกแขนขึ้นลองสั่นกระดิ่งเสวียนอิน พบว่ากระดิ่งยังเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง คิดว่าคงไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดๆ อยู่ในบริเวณนี้ ฉะนั้นจึงกดลงบนกลไกอย่างสบายใจ มีเสียงพรืดดังขึ้นแล้วบันไดเชือกเส้นหนึ่งก็ร่วงลงมาจากเพดาน ตอนนางรวบชายเสื้อขึ้นไปลุงเฉิงกับฮั่วชิวก็บุกเข้ามาแล้ว
“คุณชาย”
“ลิ่นเฉิงโย่วอยู่บนหลังคา ข้าจะขึ้นไปคุยกับเขาไม่กี่คำ พวกท่านรีบตามมาเร็ว!”
ระหว่างพูดคุยกันนางก็ปีนป่ายตามบันไดขึ้นไปถึงหลังคา ทันทีที่โผล่หน้าออกมาก็หันซ้ายหันขวามองหาลิ่นเฉิงโย่ว แล้วก็เห็นลิ่นเฉิงโย่วอยู่บนสันหลังคาทางฝั่งตะวันออกจริงดังคาด เขาได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านล่างตั้งนานแล้วชัดๆ พอหันมามองเถิงอวี้อี้สีหน้าไม่ฉายแววประหลาดใจแต่อย่างใด เพียงยิ้มเยาะก่อนเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่คุณชายหวังหรอกหรือ ไม่อยู่ในห้องตนเอง ขึ้นมาบนหลังคาเพื่ออะไรกัน”
ในดวงตาเถิงอวี้อี้ร้อนระอุด้วยไฟโทสะลุกโชน นางเหลียวมองไปรอบกายอย่างรวดเร็ว บนหลังคามองไม่เห็นใครอื่นสักคนนอกจากลิ่นเฉิงโย่ว มันจะแปลกเกินไปแล้ว ทั้งที่เมื่อครู่เหมือนได้ยินเสียงลิ่นเฉิงโย่วหัวเราะพูดคุยกับผู้ใดอยู่ชัดๆ เวลาชั่วพริบตาเดียวคนผู้นั้นหายไปที่ใดกัน
เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนั้นเลย นางเหยียบลงบนกระเบื้องอย่างระมัดระวัง กางสองแขนกว้างเพื่อให้ทรงตัวได้มั่นคง “ข้ามาคิดบัญชีกับเจ้า เจ้าเล่นเล่ห์กลอันใดกับน้ำแกงชามนั้นกันแน่ รีบส่งยาถอนพิษมาให้ข้าประเดี๋ยวนี้”
ลิ่นเฉิงโย่วลอบหัวเราะในใจ เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเจ้าเด็กโง่สองคนนี้ทำผิดพลาดด้วยความประสงค์ดีเสียแล้ว ถึงขั้นทำให้เถิงอวี้อี้ต้องเดือดร้อนเป็นการหนัก เจ้าเด็กโง่รู้แต่ว่าน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงเป็นของดี ก่อนหน้านี้จึงโน้มน้าวให้เถิงอวี้อี้ดื่มโดยไม่รู้เลยว่าสมุนไพรวิเศษชนิดนี้ข่มฤทธิ์ยาได้ยาก คนที่มีวรยุทธ์ดื่มแล้วจะช่วยเพิ่มพูนกำลังภายใน คนที่ไม่มีวรยุทธ์ดื่มเข้าไปแล้วมีแต่จะเกิดเรื่องวุ่นวายเปล่าๆ
เรื่องนี้จะว่าไปแล้วคงต้องโทษเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อที่ตัดสินใจโดยพลการ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางกล่าวโทษมาถึงเขาได้ แต่เกียจคร้านจะอธิบายให้ถูกต้อง มองดูท่าทางตอนนางโกรธน่าสนุกดีจะตาย เช่นนั้นก็ให้นางเข้าใจผิดว่าเขาเจตนาทำไปแล้วกัน
เขาแสร้งปั้นหน้าเคร่งขรึมถามขึ้นว่า “คุณชายหวัง ข้าหวังดีเชิญเจ้าดื่มน้ำแกง เจ้าไม่รับน้ำใจก็แล้วไปเถอะ เหตุใดถึงมาว่ากล่าวกันได้”
เถิงอวี้อี้เคียดแค้นจนกัดฟันกรอด หลังนางดื่มน้ำแกงแล้วร่างกายก็ร้อนรุ่มเหมือนโดนย่างบนกองไฟ ลิ่นเฉิงโย่วยังกล้าวางมาดดัดจริต นางลองย่างเท้าก้าวหนึ่งก็หยุดชะงัก เดิมทีนึกว่าร่างกายจะโงนเงน นึกไม่ถึงว่าสองเท้ากลับหยัดยืนได้มั่นคง นางมีแผนการอยู่ในใจแล้ว ตอนแรกเริ่มเดินไปอย่างเชื่องช้า ต่อมาจึงเร่งฝีเท้าว่องไวดุจเหินบิน อีกทั้งยิ่งเดินก็ยิ่งเร็วขึ้นไปทุกที เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าลิ่นเฉิงโย่วแล้ว
ลิ่นเฉิงโย่วมองเถิงอวี้อี้เข้ามาประชิดตัวอย่างนึกสนุก น้ำแกงชามนั้นน่าสนใจอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย เถิงอวี้อี้ไม่เพียงเสียงสูงกังวานขึ้น อากัปกิริยายังหงุดหงิดฉุนเฉียวกว่าที่เคยเป็นมา พวงแก้มสองข้างกับริมฝีปากเป็นสีแดงก่ำ ดูเหมือนอยู่ในอาการเมามาย เวลาออกวิ่งคล่องแคล่วดั่งใจ แตกต่างจากการไว้ตัวสำรวมกิริยาในยามปกติอย่างกับเป็นคนละคน
“คุณชายหวังไม่สบายตรงที่ใดกัน” เขาแสร้งถามอย่างห่วงใย
เถิงอวี้อี้หยุดยืนนิ่งๆ แล้ว “คืนนี้นอกจากน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงชามนั้นแล้วข้าก็ไม่ได้กินอะไรเลย อยู่ดีๆ กลับกลายเป็นเช่นนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับน้ำแกงนั้นแน่นอน ลิ่นเฉิงโย่ว อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเป็นฝีมือเจ้าเล่นลูกไม้ รีบส่งยาถอนพิษมาให้ข้า ไม่อย่างนั้นข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด!”
ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มเย้ยหยัน “ไม่ปล่อยข้าไป? อย่าว่าแต่ข้าไม่มียาถอนพิษเลย ถึงมียาถอนพิษจริงก็ไม่ให้เจ้า แล้วเจ้าคิดจะจัดการข้าอย่างไรเล่า”
เขายังกล่าวไม่จบประโยค ฝ่ามือข้างหนึ่งก็โจมตีสวนกลับมา ไม่น่าเชื่อว่าเถิงอวี้อี้บอกจะลงมือก็ลงมือ
ลิ่นเฉิงโย่วเอียงศีรษะหลบไปด้านข้าง ยกมือขึ้นคว้าแขนเถิงอวี้อี้เอาไว้ “คุณชายหวัง เจ้าใจกล้าไม่เบา บังอาจทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าข้า!”
เถิงอวี้อี้เหงื่อไหลท่วมตัวคล้ายเปียกฝนชุ่มโชก สะบัดมืออีกข้างออกมาโดยไม่รีรอ ก่อนส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ย “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าลอบทำร้ายข้าก่อน ข้าคงไม่หงุดหงิดจนต้องมาวอนหาเรื่องเจ้าหรอก! รีบส่งยาถอนพิษออกมา ไม่อย่างนั้นข้าจะสู้ตายกับเจ้าแน่”
ลิ่นเฉิงโย่วจะปล่อยให้เถิงอวี้อี้ทำสำเร็จได้อย่างไร เขาพลิกตัวหลบไปด้านหลัง ก่อนจะไปยืนอยู่บนรูปปั้นสัตว์บนชายคา ครุ่นคิดอยู่ในใจว่าแม้เถิงอวี้อี้จะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว กลับมิใช่คนโกรธง่ายและหุนหันพลันแล่น วันนี้นิสัยเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ไม่ต้องสงสัยว่ารากวิญญาณหยกเพลิงนี้มีฤทธิ์มอมเมาจิตใจคนด้วย
เขามองสำรวจนางอย่างใจเย็น “ข้าขอเตือนเจ้าให้เก็บเรี่ยวแรงเอาไว้ดีกว่า อย่าว่าแต่ตอนนี้เจ้ามีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อให้ไปเรียนวิชามาจริงก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้เลย”
เถิงอวี้อี้ตวาดกลับเสียงดุดัน “เจ้าก็ลองดูสิ!” แต่ถึงนางจะมีพลังประหลาดที่ใช้ได้ล้นเหลือ หากดูกันที่กระบวนท่ากลับแตะแขนเสื้อลิ่นเฉิงโย่วไม่ได้ด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่นางจวนเข้าประชิดตัว ลิ่นเฉิงโย่วก็จะแสยะยิ้มร้ายแล้วแฉลบตัวหลบไปด้านข้าง
เมื่อเห็นว่าลิ่นเฉิงโย่วหลบได้ลื่นไหลดั่งปลาหนีชิว* ไฟในใจเถิงอวี้อี้ยิ่งลุกโชนขึ้น จู่ๆ เห็นเขาหยุดเคลื่อนไหวจึงซัดฝ่ามือไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล แต่คิดไม่ถึงว่าจะไล่ตามลิ่นเฉิงโย่วไม่ทัน แล้วยังพลาดท่าเท้าลื่นไถลจนร่วงหล่นลงไปตามแนวกระเบื้องหลังคา
ชั่วพริบตานั้นเถิงอวี้อี้หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ “ลุงเฉิง!”
ลุงเฉิงได้ยินเสียงบานหน้าต่างกระแทกดังสนั่นก็พุ่งทะยานออกมาจากในห้องแต่แรกแล้ว เขาพลิกตัวหมุนคว้างกลางอากาศอย่างปราดเปรียวดั่งนกเหยี่ยว ยืดตัวหมายจะรับร่างเถิงอวี้อี้ แต่สุดท้ายอยู่ไกลกันเกินไป แม้ท่าร่างเขาจะว่องไวปานสายฟ้าแลบก็ยังห่างเพียงเอื้อมมือเท่านั้น
ลุงเฉิงขบคิดเร็วรี่ เปลี่ยนเป็นกระโจนลงไปข้างล่าง เขามีกำลังภายในลึกล้ำ ขอเพียงช่วงชิงโอกาสก่อนร่วงลงพื้นก้าวหนึ่งได้ย่อมปกป้องเถิงอวี้อี้ได้ไม่ยาก
ต่อมาฮั่วชิวก็กระโดดหน้าต่างไล่ตามมาอย่างร้อนรน ตั้งใจจะคอยช่วยเหลือลุงเฉิงจากด้านบนอีกที
เถิงอวี้อี้ตกใจจนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปครึ่งหนึ่งแล้ว กลัวอยู่อย่างเดียวว่าลุงเฉิงจะรับร่างตนเองไม่ทัน ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งกลิ้งหล่นจากชายคาคอเสื้อก็ถูกคนคว้าหมับจากทางด้านหลัง นางหันกลับไปมองด้วยความตื่นตระหนกก็เห็นสาบเสื้อของลิ่นเฉิงโย่วเข้าพอดี
ลิ่นเฉิงโย่วคว้าคอเสื้อด้านหลังของเถิงอวี้อี้ไว้แน่น แล้วหิ้วร่างนางกลับมาอยู่บนหลังคา “เมื่อครู่ข้าเตือนแล้วเจ้ากลับไม่ยอมเชื่อเอง ครั้งนี้นับว่าเจ้าโชคดี วันนี้บังเอิญเป็นวันที่สิบห้า ข้าต้องกินเจสร้างกุศล แต่ว่าเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว อีกประเดี๋ยวหากเจ้าจะตกลงไปอีกข้าก็คร้านจะยื่นมือช่วยแล้ว”
เถิงอวี้อี้ทรุดตัวลงนั่งบนกระเบื้องแล้วปาดเหงื่อ ก่อนช้อนสายตาขึ้นมองลิ่นเฉิงโย่ว เขาก้มหน้าลงมองนาง หัวคิ้วหางตาล้วนเผยเจตนาประชดประชัน
เถิงอวี้อี้ตบสาบเสื้อเบาๆ พยายามจะลุกขึ้นยืน ทว่าก็จนปัญญาเพราะสองขาอ่อนแรง น่าแปลกที่เปลวไฟในร่างดูคล้ายจะลดความร้อนแรงลง สติก็แจ่มใสขึ้นมาหลายส่วน นางครุ่นคิดอย่างสับสน
หรือจะมีสาเหตุมาจากความตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบเมื่อครู่กัน