ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35
นางรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจตามตอแยไม่เลิกรา แต่คิดว่าซื่อจื่อคงเห็นแล้ว หลังอาหารมื้อเย็นข้าน้อยเหงื่อออกไม่หยุดจนน่าแปลกใจ อารมณ์แปรปรวนควบคุมไม่ได้ เหมือนร่างกายอยู่กลางกองไฟ จิตใจอยู่ในขุมนรกก็ไม่ปาน ทั้งหมดล้วนเกิดจากน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงชามนั้น คืนนี้คนดื่มน้ำแกงมีมากกว่าหนึ่งคน เพราะเหตุใดถึงมีข้าน้อยผู้เดียวที่เป็นเช่นนี้ ในเมื่อสมุนไพรวิเศษนี้ซื่อจื่อเป็นคนนำมา ขอซื่อจื่อโปรดไขข้อข้องใจให้ด้วย”
ลิ่นเฉิงโย่วเดินห่างออกไปอีกทาง ตลบชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลงในท่าขัดสมาธิ “คุณชายหวัง ไอร้อนในร่างสายนั้นสงบลงบ้างแล้วใช่หรือไม่”
เถิงอวี้อี้ถามกลับอย่างสงสัย “ใช่ แล้วนี่มันหมายความว่าอะไรกัน”
“หากคุณชายหวังอึดอัดเหลือเกินจริงๆ ก็ออกกำลังยืดเส้นยืดสาย ถ้ายังไม่หายก็ไปประมือหลายๆ กระบวนท่ากับใครสักคน ให้ร่างกายเหงื่อออกมากหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว”
เถิงอวี้อี้ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ “นี่ซื่อจื่อยอมรับแล้วใช่หรือไม่ว่าเล่นลูกไม้อะไรกับน้ำแกง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าข้าน้อยไปล่วงเกินซื่อจื่อตรงที่ใด ขอซื่อจื่อโปรดอภัยด้วย ส่งยาถอนพิษให้ข้าน้อยเถอะ”
สายตาลิ่นเฉิงโย่วมองตรงไปข้างหน้า “คำพูดประโยคนี้ของคุณชายหวังข้าฟังไม่เข้าใจเลย แม้ว่าเรื่องที่เจ้าเคยล่วงเกินข้ามีมากมายจนนับไม่ไหว แต่น้ำแกงชามนี้ข้าก็ไม่ได้บังคับให้เจ้าดื่มนะ ต่อให้ข้ามีความสามารถเลิศล้ำแค่เพียงใด ก็ไม่มีทางลอบทำร้ายเจ้าท่ามกลางสายตาผู้คนที่จับจ้องอยู่ได้หรอก หากจะโทษก็โทษที่ร่างกายเจ้าอ่อนแอเกินไป ข่มฤทธิ์สมุนไพรวิเศษอย่างรากวิญญาณหยกเพลิงไม่ไหว ไม่เชื่อเจ้าลองดูองครักษ์สองคนนั้นของเจ้าสิ พวกเขาก็สบายดีอยู่ไม่ใช่หรือไร”
เถิงอวี้อี้มองตามสายตาของลิ่นเฉิงโย่วไป คืนนี้สายลมโชยอ่อนดวงจันทร์สุกสกาว เมื่อยืนอยู่บนหอสูงจะมองเห็นทิวทัศน์ภายในหอไฉ่เฟิ่งแบบแจ่มชัดในคราวเดียว ภาพนางวิ่งห้อตะบึงกระโดดโลดเต้นในลานกว้างเมื่อครู่คิดว่าลิ่นเฉิงโย่วน่าจะเห็นทุกอย่างแล้ว เขาคงกุมท้องหัวเราะขบขันไปยกใหญ่ มิน่าเล่าถึงอารมณ์ดีเพียงนี้
นางสูดลมหายใจรับลมเย็นเข้าไปเต็มที่ เปลวไฟร้อนรุ่มในอกเหล่านั้นเดิมทีมอดดับเรียบร้อยแล้ว แต่อึดใจเดียวก็มีเค้าลางว่าจะลุกโชนขึ้นมาใหม่ “จะว่าไปคืนนี้ในบรรดาคนที่ดื่มน้ำแกงมีแต่ข้าน้อยที่ไม่มีกำลังภายใน ซื่อจื่อก็รู้ว่าข้าน้อยข่มฤทธิ์ยาน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงไม่ได้กลับไม่ยอมเตือน ยามนี้ข้าน้อยร้อนใจนั่งไม่ติด ไม่มาหาซื่อจื่อจะให้ไปหาใครเล่า”
ลิ่นเฉิงโย่วหยิบขลุ่ยหยกเลาหนึ่งจากข้างเอว เคาะลงบนฝ่ามือเล่นอย่างเอ้อระเหย ตอนนั้นในสมองเขามีแต่เรื่องของคนร้าย จนลืมเตือนเถิงอวี้อี้เป็นการส่วนตัวไปเสียสนิท แต่ตอนเขาออกไปน้ำแกงยังไม่ทันยกมาขึ้นโต๊ะเลย จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาแค่ไปหยิบจดหมายฉบับหนึ่งที่หอหน้า ตอนกลับมาถึงคนกลุ่มนี้ก็ดื่มน้ำแกงลงท้องไปแล้ว
“ข้าถูกปรักปรำจริงๆ นะ ข้ารู้เพียงว่ารากวิญญาณหยกเพลิงช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายบำรุงร่างกาย จะรู้ได้อย่างไรว่าคุณชายหวังกินเข้าไปแล้วจะคลุ้มคลั่งอาละวาดเช่นนี้ เมื่อก่อนเวลามีคนข่มฤทธิ์เดชสมุนไพรไม่ได้ ขับลมร้อนออกไปสักหน่อยก็หายแล้ว บางทีเจ้าสิ่งนี้อาจแตกต่างจากสมุนไพรชนิดอื่น ไม่อย่างนั้นจะเป็นถึงขั้นนี้ได้หรือ เอาอย่างนี้แล้วกัน ตอนข้าเข้าไปเอารากวิญญาณหยกเพลิงในวังหลวง ถือโอกาสหยิบม้วนคัมภีร์ส่วนที่เหลืออยู่ติดมือมาด้วย ตอนนี้ยังไม่มีเวลาอ่าน เห็นแก่ที่เจ้าต้องลำบากปานนี้ข้าจะช่วยดูให้เจ้าเองว่าต้องข่มฤทธิ์สมุนไพรอย่างไร”
เถิงอวี้อี้หรี่ตาลงครุ่นคิด บอกว่ายังไม่เคยอ่านเลยน่ะหรือ เห็นได้ชัดว่าจะต้องวางแผนไว้แต่แรก คนผู้นี้นิสัยเลวร้ายไม่สิ้นสุดจริงๆ เมื่อตอนบ่ายก็สั่งสมโทสะเอาไว้เต็มท้อง คาดว่าคงอยากกลั่นแกล้งนางอยู่นานแล้ว อาการเพิ่งกำเริบมาได้ครึ่งชั่วยาม เขายังรอดูเรื่องตลกขบขันของนางอยู่ไม่ใช่หรือ จะเป็นฝ่ายบอกวิธีข่มฤทธิ์ยาให้ได้อย่างไร
นางกลับอยากเห็นเหมือนกันว่าเขาจะกลั่นแกล้งนางต่อไปเช่นไร จึงเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาประโยคหนึ่ง “เช่นนั้นคงต้องรบกวนซื่อจื่อช่วยชี้แนะแล้ว”
ระหว่างการสนทนา ลุงเฉิงกับฮั่วชิวก็ลงแตะมุมชายคาอย่างไร้สุ้มเสียงพลางขยับเข้ามา
ลิ่นเฉิงโย่วแสร้งทำท่าหยิบสมุดเล่มเล็กขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมา มิใช่รูปแบบของม้วนคัมภีร์ที่เถิงอวี้อี้คิดไว้ในคราแรก เขาถืออยู่ในมือพลางพลิกหน้ากระดาษเล่น ก่อนจะชี้ไปที่จุดหนึ่งในสมุดตามอำเภอใจ “เจอแล้ว รากวิญญาณหยกเพลิงมีฤทธิ์ยาแปลกนัก หากมันพบกับผู้แข็งแกร่งจะเป็นคุณ หากมันพบกับผู้อ่อนแอจะเป็นโทษ ผู้ฝึกวรยุทธ์กินแล้วจะเพิ่มพูนพลังปราณเสริมสร้างรากฐาน แต่ถ้าผู้สูงวัยหรือคนอ่อนแอกินเข้าไปฤทธิ์ยากลับจะรุกล้ำเข้าสู่ร่างกายคนผู้นั้น อาการเบาหน่อยก็เป็นไข้ตัวร้อน กระหายน้ำผิดปกติ อารมณ์แปรปรวน อาการหนักหน่อยก็จะเกิดผื่นไอร้อนขึ้นทั่วร่างกาย”
ลุงเฉิงกับฮั่วชิวที่หัวใจบีบรัดแน่นมาตลอดได้ยินประโยคนี้แล้วค่อยถอนหายใจโล่งอก ถึงอย่างไรก็แค่เกิดผื่นคันตามร่างกาย ไม่ถึงขั้นกระทบกระเทือนอวัยวะภายใน “ถ้าอย่างนั้นขอถามซื่อจื่อ วิธีข่มฤทธิ์ยาคืออะไรหรือ”
“วิธีถอนพิษสลายไอร้อนทั่วไปใช้ไม่ได้ผล จะต้องอาศัยกำลังภายในของตนเองเท่านั้นถึงจะสลายฤทธิ์ร้อนของมันไปได้ คนที่ดื่มน้ำแกงแล้วจะต้องฝึกฝนกระบวนท่าสักชุดหนึ่งภายในเวลาอันสั้น ไม่อย่างนั้นจะมีผื่นไอร้อนผุดขึ้นมาไม่จบสิ้น”
เถิงอวี้อี้พอได้ยินว่าจะเกิด ‘ผื่นไอร้อน’ สีหน้าก็ยิ่งย่ำแย่มากกว่าเดิมแล้ว หากในมือมีมีดสักเล่มคงกรีดหน้าลิ่นเฉิงโย่วให้ลายพร้อยไปนานแล้ว ทว่าพอได้ยินคำว่า ‘ฝึกวรยุทธ์’ ก็นิ่งอึ้งไปโดยไม่รู้ตัว
นับตั้งแต่นางฟื้นคืนชีพมาเคยมีแผนการจะฝึกวรยุทธ์จริงๆ แต่เพราะตวนฝูบาดเจ็บยังไม่หายดีจึงปล่อยทิ้งไว้มาจนถึงตอนนี้ หากครั้งนี้กำจัดมารผีดิบได้อย่างราบรื่น หลังกลับไปก็จะจัดการเรื่องฝึกวรยุทธ์แล้ว
ทว่าความสมัครใจกับการถูกบังคับเป็นคนละเรื่องกัน
“คุณชายหวังมองข้าเช่นนี้ด้วยเหตุใดกัน” ลิ่นเฉิงโย่วเผยรอยยิ้มแฝงความหมายลึกซึ้ง “รากวิญญาณหยกเพลิงเป็นของล้ำค่าหายากในใต้หล้านี้ ผู้คนมากมายทำได้เพียงเฝ้าฝันถึง ข้ามอบสมุนไพรวิเศษให้อย่างไม่เสียดาย คุณชายหวังไม่ขอบคุณข้า กลับมาลงไม้ลงมือใส่ข้า ตอนนี้ข้าก็บอกวิธีข่มฤทธิ์ยาให้เจ้าฟังแล้ว ก็แค่ฝึกฝนวิชาเองไม่ใช่หรือ เห็นเจ้าอายุยังน้อย ไม่ฉวยโอกาสนี้ฝึกเรียนรู้ยืดเส้นยืดสาย ทั้งสามารถข่มฤทธิ์ยาได้ ทั้งช่วยให้ร่างกายแข็งแรง รากวิญญาณหยกเพลิงช่วยเพิ่มกำลังภายในอย่างได้ผลจนน่าทึ่ง ขอเพียงเจ้าข่มฤทธิ์ยาสำเร็จราบรื่น พลังวรยุทธ์ก็จะเพิ่มพูนรวดเร็วเจ็ดถึงแปดปีได้อย่างไม่มีปัญหา”
ลิ่นเฉิงโย่วกล่าวพลางมองสำรวจเถิงอวี้อี้ไปด้วย ราวกับกำลังศึกษาว่าผื่นไอร้อนเม็ดแรกของนางจะผุดขึ้นมาจากตรงที่ใด เขาไม่เชื่อว่าเถิงอวี้อี้จะยอมลำบากฝึกวรยุทธ์ ฉะนั้นผื่นไอร้อนไม่อยากจะผุดก็ต้องผุดออกมาแล้ว
หากไม่มองคงไม่รู้เลย เมื่อจ้องมองถึงสังเกตเห็นว่าใบหน้าเถิงอวี้อี้ไม่มีกระทั่งรอยไฝเล็กๆ ผิวพรรณเนียนละเอียดดุจหยก บอบบางเสียยิ่งกว่าดอกอิงฮวาในฤดูใบไม้ผลิ หากมีผื่นไอร้อนสีแดงเข้มผุดขึ้นมาเป็นหย่อมคงสนุกสนานน่าดูชม
เขาครุ่นคิดอยู่ในใจรอบหนึ่ง แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วถอนสายตากลับมา ไหนเลยจะรู้ว่าแพขนตาของเถิงอวี้อี้กะพริบครั้งเดียวกลับเค้นหยาดน้ำตาใสแวววาวออกมาได้
หยาดน้ำตาไหลรินอย่างเงียบงันดุจหยาดน้ำค้างเกาะพราวบนแก้มนวล จากนั้นนางก็สูดจมูกฟุดฟิด หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอขอบตาประหนึ่งสร้อยมุกถูกกระชากขาดสะบั้น ยิ่งกลิ้งออกไปไกลเท่าไรก็ยิ่งดี
ลิ่นเฉิงโย่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว?