ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 36
บทที่ 36
ทันทีที่เขาเอ่ยคำนี้ออกมาในห้องโถงก็มีเสียงอุทานดังเซ็งแซ่ ทุกคนต่างเหลียวมองไปรอบกายด้วยความหวาดหวั่น แล้วเริ่มหันมาซุบซิบพูดคุยกัน
“ยังมีผู้อื่นอีกหรือ”
“ซื่อจื่อหมายถึงผู้ใดกัน”
“เมื่อครู่ถามแต่เรื่องชิงจือทุกประโยค คงจะมิใช่ชิงจือหรอกนะ”
“แต่ชิงจือกระโดดบ่อน้ำตายไปแล้วไม่ใช่หรือ”
ลิ่นเฉิงโย่วกวาดสายตามอง ภายในห้องโถงเงียบเสียงลงโดยพลัน เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนจับพู่กันจุ่มน้ำหมึก รอให้เก๋อจินเอ่ยปากออกมา
ความคิดเก๋อจินยังหยุดอยู่ที่ประโยคนั้นของลิ่นเฉิงโย่ว นางขยุ้มสาบเสื้อแน่นแล้วเอ่ยถามอย่างตกใจว่า “ไม่ใช่ฝีมือของเว่ยจื่อ? ถ้าอย่างนั้นเหตุใดอัญมณีแห่งโม่เหอของนางถึงมาตกอยู่ใต้เตียงข้าน้อยได้”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยตอบ “วันที่เกิดเรื่องเจ้าเป็นไข้หนาวลมรู้สึกไม่สบาย เข้านอนเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ในเมื่อชิงจือเป็นสาวใช้ประจำตัวของเจ้า ตอนเจ้าโดน ‘วิญญาณอาฆาต’ ทำร้ายจนเสียโฉม นางไปอยู่ที่ใดเสียเล่า”
สีหน้าเก๋อจินเปลี่ยนไปยากจะคาดเดา “ตอนบ่ายนางมาขอลาพักกับข้าน้อย บอกว่ามีคนรู้จักเก่าแก่มาหานาง นัดหมายกันแล้วว่าตอนกลางคืนจะออกไปเดินเล่นกันสักหน่อย ข้าน้อยเห็นว่าช่วงนั้นนางขยันทำงานดี ก็เลยอนุญาตตามคำขอนี้ นางมอบหมายเรื่องการต้มยาของข้าน้อยให้ลวี่เหอ ประมาณต้นยามซวีก็ออกไปแล้ว หลังจากนั้นข้าน้อยก็ออกไปตามนัดหมายเช่นกัน แต่เพราะรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงกลับมาเร็ว ตอนนั้นน่าจะเป็นปลายยามไฮ่ ชิงจือไม่อยู่ในห้องจริงๆ เป็นลวี่เหอมาปรนนิบัติข้าน้อยเข้านอนแทน”
“หมายความว่าคืนนั้นนางไม่อยู่ข้างกายเจ้า?”
เก๋อจินพยักหน้าอย่างเงียบงัน
ลิ่นเฉิงโย่วหันไปหากลุ่มคนในห้องโถงแล้วกวักมือเรียก บ่าวรับใช้ในหอผู้หนึ่งกระโดดพรวดออกมา
เมื่อเถิงอวี้อี้มองตามก็เห็นว่าเป็นบ่าวรับใช้ปากสว่างที่เคยพบหน้าในห้องพระเมื่อช่วงพลบค่ำ นางจำได้ว่าคนผู้นี้ชื่ออาเหยียน
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยถามอาเหยียน “ปกติเจ้าอยู่หน้าหอคอยรับส่งแขก หากมีคนข้างนอกมาหาแม่นางในหอนี้ เจ้าจะมีหน้าที่ไปแจ้งข่าวใช่หรือไม่”
อาเหยียนห่อไหล่ยิ้มประจบ “ใช่แล้วขอรับ เถ้าแก่ไม่อนุญาตให้แม่นางกับสาวใช้ในหอไปพบแขกเป็นการส่วนตัว ถ้ามีคนมาขอนัดหมาย จะต้องรายงานให้เถ้าแก่หรือแม่เล้าทราบก่อน”
“วันที่สิบแปดเดือนก่อนเคยมีคนมาหาชิงจือหรือไม่”
“อย่าว่าแต่วันที่สิบแปดเดือนก่อนเลย ตั้งแต่หอไฉ่เฟิ่งเปิดกิจการมาข้าน้อยไม่เห็นผู้ใดเคยมาหาชิงจือ แต่คืนวันที่สิบแปดชิงจือก็ออกจากหอไปจริง เสียดายคืนนั้นมีแขกมามากเกินไป ข้าน้อยไม่มั่นใจเหมือนกันว่านางกลับมาในยามใด”
ลิ่นเฉิงโย่วพยักหน้ารับรู้ “เจ้าจำไม่ได้ แต่มีคนจำได้ คืนนั้นชิงจือออกจากหอไปตามลำพัง ข้างกายไม่เพียงไม่มีชายใดเดินเคียงข้าง แม้แต่สตรีสักคนก็ไม่มี ตอนนั้นก็ดึกดื่นมากแล้ว มีคนรู้สึกแปลกใจยิ่งนักจึงจับตาดูสักหน่อย ปรากฏว่าไม่ถึงหนึ่งชั่วยามชิงจือก็กลับมา ขากลับนางแวะซื้ออิงเถาอบแห้งที่ร้านค้าชาวหูข้างทาง ขณะนั้นน่าจะเป็นเวลาประมาณปลายยามซวี เรื่องนี้มีคนงานในร้านผลไม้ฝั่งตรงข้ามหอไฉ่เฟิ่งรวมถึงผู้เฒ่าขายสุราตรงศาลาริมทางเป็นพยานได้”
เก๋อจินเงี่ยหูตั้งใจฟังอย่างละเอียด ดวงตาสองข้างเบิกกว้างขึ้นทุกขณะ
ลิ่นเฉิงโย่วหันไปมองเก๋อจิน “ทั้งที่ปลายยามซวีชิงจือก็กลับมาแล้ว เจ้าที่กลับมายังห้องตอนปลายยามไฮ่กลับไม่เห็นนาง ตลอดหนึ่งชั่วยามเต็มนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่านางจะซ่อนตัวอยู่ที่ใด”
ริมฝีปากเก๋อจินสั่นระริกขึ้นมา “หรือว่านางจะซ่อนอยู่ใต้เตียงข้า ไม่ๆๆ สาวใช้ผู้นี้ชอบอู้งานที่สุด พูดโกหกหลายต่อหลายครั้ง บางครั้งก็หนีไปชมดูการร่ายรำร้องเพลงที่ห้องโถงหน้า บางครั้งวิ่งไปที่ห้องแม่เล้าคนอื่นขออาศัยกินดื่ม หนีหายไปครั้งหนึ่งก็สองชั่วยามแล้ว หลังรู้เรื่องพอซักถามขึ้นมาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสมอ ข้าน้อยตัดสินใจเด็ดขาดจะไล่นางออกไป ทุกวันสาวใช้ผู้นี้กลับโขกศีรษะวิงวอน ถึงแม้ข้าน้อยจะชิงชังนัก แต่เห็นว่านางทำงานคล่องแคล่วดี สงสารเห็นนางอายุยังน้อย คิดว่าสั่งสอนอีกสักหน่อยคงดีขึ้นเอง คืนนั้น…คืนนั้นบางทีคงเป็นอย่างนี้ ไม่สิ แม้นางจะมีข้อเสียมากมายปานนั้น แต่ถึงอย่างไรข้าน้อยก็ดีต่อนางมากนะ ข้าน้อยคิดไม่ออกเลยว่าเหตุใดนางต้องทำร้ายข้าน้อยด้วย”
พวกเอ้อจีเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ “ใช่แล้ว ซื่อจื่อเจ้าคะ ชิงจือเป็นสาวใช้คนสนิทของเก๋อจิน หากเก๋อจินต้องเคราะห์ร้ายชิงจือจะเป็นคนแรกที่ต้องเจอดี นายบ่าวไม่ว่าเกียรติยศหรือความอดสูต้องแบกรับร่วมกัน ไม่มีบ่าวคนใดไม่หวังให้นายหญิงที่ตนเองรับใช้ได้ดีมีชื่อเสียงหรอกเจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว ถึงแม่นางเก๋อจินจะเสียโฉมไปชิงจือก็ไม่มีโอกาสได้เป็นยอดบุปผา สาวใช้ผู้นี้เห็นแก่กินและหลงใหลความหรูหราฟุ้งเฟ้อ ที่ผ่านมาไม่รู้ว่าได้ของดีจากมือแม่นางเก๋อจินไปมากเท่าใด ต่อให้ทำไปเพื่อผลประโยชน์พวกนั้น ก็จะเสียสละเพื่อปกป้องผู้เป็นนาย มิหนำซ้ำหากนางเป็นคนทำร้ายแม่นางเก๋อจิน หลังเกิดเรื่องกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร”
“แต่หลายวันก่อนชิงจือมักฝันร้ายอยู่บ่อยๆ” เสียงแหลมเล็กเบาหวิวของใครผู้หนึ่งดังขึ้น “เรื่องนี้พวกว่อต้าเหนียงต่างรู้ดี”
สายตาทุกคนหันไปมองตามเสียงนั้น ที่แท้เป็นลวี่เหอที่อาศัยอยู่ห้องเดียวกับชิงจือ
เถิงอวี้อี้ตะลึงงัน วันนั้นเป้าจูกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีก็เคยพูดเช่นนี้
ว่อต้าเหนียงค้อมกายลงทำความเคารพลิ่นเฉิงโย่ว “ข้าน้อยเคยรายงานซื่อจื่อไปแล้ว ชิงจือเริ่มฝันร้ายเมื่อเจ็ดถึงแปดวันก่อน พูดแต่ว่ามีผีจะมาจับตัวนาง กระสับกระส่ายนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน หากแต่พอตื่นขึ้นมาแล้วลองถามต้นสายปลายเหตุนางกลับไม่ยอมพูดอะไรสักคำ”
เฮ่อหมิงเซิงแค่นเสียงหึออกมาคำหนึ่ง “เก๋อจินโดนทำร้ายเสียโฉมเป็นเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่สิบแปดเดือนก่อนโน่น ว่ากันตามหลักชิงจือน่าจะเริ่มฝันร้ายตั้งแต่เดือนก่อนสิ แล้วอาการเพิ่งกำเริบเมื่อเจ็ดถึงแปดวันก่อนได้อย่างไร ซื่อจื่อ ชิงจือนั้นวันๆ ยุ่งอยู่กับการรับใช้เก๋อจิน หากนางกล้าปลอมตัวเป็นวิญญาณอาฆาต เพียงเอ่ยปากเก๋อจินก็ฟังเสียงออกแล้ว”
“จะรีบร้อนไปไย ข้ายังถามไม่จบเลย” ลิ่นเฉิงโย่วกลับไปด้านหลังโต๊ะ สั่งให้คนนำห่อของสิ่งหนึ่งขึ้นมาแสดง “ดูเหมือนชิงจือจะชอบกินอิงเถาอบแห้งมาก วันที่นางตายเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนเคยค้นเจออิงเถาอบแห้งที่ยังกินไม่หมดในห้องนางด้วย”
พอเปิดห่อของสิ่งนั้นแล้วกลิ่นเหม็นเปรี้ยวก็ฟุ้งกระจายไปทั่วในทันใด
ลิ่นเฉิงโย่วเคาะโต๊ะเบาๆ “เป้าจูอยู่ที่ใด”
เป้าจูก้าวออกมาจากกลุ่มคนด้วยท่าทางขลาดกลัว นางยอบกายทำความเคารพ “คารวะซื่อจื่อเจ้าค่ะ”
“เจ้าบังเอิญเห็นชิงจือกินของสิ่งนี้วันใดกัน”
“จำไม่ได้แน่ชัดว่าวันใด แต่คงเป็นหลังแม่นางเก๋อจินได้รับบาดเจ็บไม่นาน ตอนข้าน้อยผลักประตูเข้าไปชิงจือกำลังยัดอิงเถาอบแห้งห่อนั้นกลับเข้าไปใต้หมอน แต่ไม่ทันระวังทำร่วงลงพื้น อิงเถาอบแห้งหกกระจายออกมาบางส่วน ข้าน้อยสังเกตเห็นว่าข้างใต้นั้นซ่อนเครื่องประดับมีค่าไว้พอสมควรเลยเจ้าค่ะ”
เอ้อจีตกตะลึงอ้าปากค้าง “เป้าจู เจ้าตาฝาดไปหรือไม่ ชิงจือเป็นสาวใช้ทำงานหนักผู้หนึ่ง จะไปเอาเครื่องประดับมีค่ามาจากที่ใดกัน”
เป้าจูขบกัดริมฝีปากแล้วส่ายหน้า บอกให้รู้ว่าตนเองไม่ได้ตาฝาด
ลิ่นเฉิงโย่วหยิบตะเกียบไม้ไผ่ออกมาจากกระบอก แล้วคนลงไปในกองอิงเถาอบแห้งต่อหน้าทุกคน ประเดี๋ยวเดียวก็ไปถึงก้นห่อ เห็นได้ชัดว่าข้างใต้นี้ไม่ได้ซ่อนของสิ่งใดเอาไว้
“ก็เป็นอย่างที่พวกเจ้าเห็น ข้างในนี้ไม่มีอะไรอื่นอีกนอกจากอิงเถาอบแห้งส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ชิงจือนิสัยเห็นแก่กินถึงเพียงนี้ อุตส่าห์ซื้ออิงเถาอบแห้งกลับมาเฉยๆ แล้วไม่ยอมกิน ปล่อยเอาไว้จนบูดเน่าไปได้อย่างไร ดังนั้นเป้าจูไม่ได้ตาฝาด ของสิ่งนี้เอาไว้ตบตาผู้คน แต่ไม่กี่วันก่อนเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนนำกำลังคนมาตรวจค้น ในห้องชิงจือไม่มีเครื่องประดับมีค่าอยู่เลยสักชิ้น นี่สิน่าแปลกแล้ว ตกลงของพวกนั้นหายไปได้อย่างไร”
ห้านักพรตรับฟังมาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็อดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว “จะเป็นเพราะหลังจากชิงจือตายไปแล้วมีคนมาหยิบของในห้องนางออกไปหรือไม่ ข้าก็บอกแล้วอย่างไรเล่า ชิงจือไม่มีทางฆ่าตัวตายแน่นอน คนร้ายฆ่าชิงจือแล้วกลัวว่าตนเองจะเผยพิรุธออกไปถึงได้รีบร้อนปกปิดร่องรอย”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยเสียงเนิบช้า “อย่าเพิ่งถกเถียงเลยว่าชิงจือตายอย่างไร เพียงแค่ดูจากการหาอัญมณีแห่งโม่เหอของแม่นางเว่ยจื่อพบที่ใต้เตียงของแม่นางเก๋อจิน มีใครบางคนนอกจากจะทำลายรูปโฉมแม่นางเก๋อจิน ยังคิดจะโยนเรื่องนี้ให้เป็นความผิดแม่นางเว่ยจื่อ เป็นอย่างที่แม่เล้าหลายคนว่ามา หากเก๋อจินโดนทำร้ายเสียโฉม ชิงจือมีแต่จะลำบากตามไปด้วย ชิงจือยอมหักหลังนายหญิงดาวเด่นของตนเองได้ จะต้องเป็นเพราะมีใครบางคนยอมมอบผลประโยชน์ให้นางได้มากกว่านี้ ดังนั้นชิงจือที่เป็นคนเกียจคร้านแท้ๆ วันนั้นกลับเป็นฝ่ายเสนอว่าต้องทำความสะอาดห้อง นางแสร้งทำเป็นพบอัญมณีแห่งโม่เหอใต้เตียง ทำให้แม่นางเก๋อจินเข้าใจผิดว่าแม่นางเว่ยจื่อคือคนร้าย”
ในห้องโถงมีเสียงดังฮือฮาไปทั่ว ความหมายของประโยคนี้ทุกคนต่างเข้าใจกระจ่าง คนที่วางแผนทำร้ายเก๋อจินอาจไม่ได้มีเพียงชิงจือผู้เดียว ชิงจืออยู่ในที่แจ้ง คนผู้นั้นอยู่ในที่ลับ
เถิงอวี้อี้รินน้ำอ้อยให้ตนเองถ้วยหนึ่ง สมกับเป็นแผนปาหินก้อนเดียวได้นกสองตัว* สามารถกำจัดเก๋อจินกับเว่ยจื่อไปได้ในเวลาเดียวกัน คนที่ได้ประโยชน์มีเพียงผู้เดียว