ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 36
“สาวใช้เสียสติผู้นี้…” ทุกคนกระซิบพูดคุยกัน “ปกติก็ชอบพูดจาลอยๆ ไม่เป็นเรื่องเป็นราว คำพูดพวกนี้ยิ่งเหลวไหลไร้หลักฐาน ซื่อจื่อเจ้าคะ นิสัยของสาวใช้ผู้นี้แปลกพิกลนัก คำพูดของนางเชื่อถือจริงจังไม่ได้เลย”
“แต่ข้ายังเชื่อว่าคำพูดเหลวไหลของนางเป็นความจริงอยู่ดี” ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มหยอกเย้า “ปีนี้ชิงจืออายุสิบห้า ตอนถูกขายอายุเจ็ดแปดขวบ อยากสืบให้กระจ่างว่านางพูดโกหกหรือไม่ ก็ต้องเริ่มต้นจากตัวพ่อค้าทาสเมื่อเจ็ดปีก่อนผู้นั้น”
พอได้ยินประโยคนี้สีหน้าเหยาหวงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เถิงอวี้อี้ลอบสังเกตเหยาหวงอย่างเงียบๆ ที่แท้ลิ่นเฉิงโย่วก็รอเรื่องนี้อยู่นี่เอง ประโยคเดียวที่ชิงจือกล่าวออกมาโดยไม่ตั้งใจ ลิ่นเฉิงโย่วกลับคลำแตงตามเถา* ต่อไปเรื่อยๆ
ไม่คาดคิดว่าลิ่นเฉิงโย่วกลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาฉับพลัน “อย่าเพิ่งพูดเรื่องพ่อค้าทาสเลย มาพูดถึงสถานการณ์ในคืนที่แม่นางเก๋อจินโดนทำร้ายเสียโฉมดีกว่า ข้อสงสัยเด่นชัดมีอยู่สองข้อ คนผู้นั้นแฝงตัวเข้ามาในห้องอย่างไร เหตุใดแม่นางเก๋อจินถึงฟังเสียงไม่ออกว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
ข้อแรกตอบง่ายมาก มาซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงล่วงหน้าก็ใช้ได้แล้ว ข้อต่อมากลับตอบไม่ได้ คนผู้นั้นตะโกนด่าทอเสียงแหลมสูง ว่ากันตามหลักแล้วแม่นางเก๋อจินน่าจะฟังเสียงออก แต่นางกลับฟังไม่ออกว่าเป็นผู้ใด นี่สิถึงจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่สุดจากเรื่องทั้งหมด”
เก๋อจินเอ่ยรับคำอย่างเศร้าสลดระคนหวาดกลัว “ถึงแม้ข้าน้อยจะฟังไม่ออกว่าเป็นใคร แต่ทุกคืนหน้าประตูเรือนชั้นในจะต้องมีบ่าวรับใช้คอยเฝ้าไว้ คนเป็นบุกเข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว คืนนั้นคนที่ทำร้ายข้าจะต้องเป็นคนในหอแน่”
เจี้ยนเหม่ยกล่าวขึ้นว่า “ซื่อจื่อ ข้าได้ยินมาว่าในตลาดมีคนประหลาดพวกที่ชำนาญศิลปะการเปล่งเสียงอยู่ด้วย สตรีสามารถปลอมตัวพูดจาเยี่ยงบุรุษ ส่วนบุรุษก็ปลอมตัวพูดจาเยี่ยงสตรีได้ หากคนผู้นั้นชำนาญศิลปะการเปล่งเสียงแบบเดียวกันนี้ แม่นางเก๋อจินจะฟังไม่ออกก็ไม่น่าแปลกใจ”
ลิ่นเฉิงโย่วลูบปลายคาง “แล้วในหอไฉ่เฟิ่งใครชำนาญศิลปะการเปล่งเสียงที่สุด”
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีไปขนานใหญ่ สายตาแต่ละคู่ล้วนจับจ้องไปยังร่างเหยาหวง นางไม่เพียงชำนาญการขับขานบทเพลง ยังสามารถเลียนเสียงลิงกู่ร้องนกเจื้อยแจ้ว ละเอียดอ่อนเอาใจใส่อย่างหาได้ยาก ไม่เคยอาศัยเสียงของตนมากดข่มใคร ใช้การเลียนเสียงนกได้มีชีวิตชีวาสมจริง หยอกเย้าสร้างความสนุกสนานให้แขกเหรื่ออยู่เป็นประจำ
ก่อนเก๋อจินจะมาอยู่ที่หอไฉ่เฟิ่ง เดิมทีเหยาหวงมีโอกาสจะได้เป็นยอดบุปผามากที่สุด เมื่อชื่อของยอดบุปผาโด่งดังไปทั่วเมืองฉางอัน ไม่เกินสามปีก็เก็บออมเงินเพื่อไถ่ตนเองได้แล้ว
เหยาหวงอมยิ้มพลางมองลิ่นเฉิงโย่ว ก่อนเอ่ย “คำพูดของซื่อจื่อเข้าใจยากอยู่บ้าง ข้าน้อยรู้ศิลปะการเปล่งเสียงเพียงผิวเผิน แต่คืนนั้นข้าน้อยกับคุณชายใหญ่เว่ยบุตรชายหนิงอันป๋อไปชมงานโคมไฟริมสระฉวี่เจียง วันรุ่งขึ้นถึงกลับเข้าเมือง ผู้ติดตามมีจำนวนมากทีเดียว ไม่ว่าใครก็สามารถมาเป็นพยานได้ ซื่อจื่อลองไปสอบถามคนในคืนนั้นดู ข้าไม่กลัวการตรวจสอบอีกรอบหรอกเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่อยู่ในหอ แต่ชิงจืออยู่ นางคอยซ่อนอยู่ใต้เตียงทำร้ายคน ส่วนเจ้าวางตัวไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ระยะนั้นในหอมีภูตผีปีศาจก่อความวุ่นวาย ไม่ว่าใครเอ่ยถึงก็หน้าเปลี่ยนสี ชิงจือปลอมตัวเป็นวิญญาณอาฆาตไปทำร้ายเก๋อจิน เรียกได้ว่าแนบเนียนดั่งภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ เจ้ากับนางช่วยกันเตรียมบทพูดไว้แล้วด้วยซ้ำ ‘หญิงชั้นต่ำ กล้ามายั่วยวนสามีข้า!’ เมื่อมีคำพูดประโยคนี้ แม้แต่ชิงจือก็จะโดนกันออกไปด้วย”
“ประเดี๋ยวก่อนนะ” เอ้อจีอดเอ่ยแทรกขึ้นมาไม่ได้ “ซื่อจื่อเจ้าคะ คนที่รู้ศิลปะการเปล่งเสียงคือเหยาหวง ไม่ใช่ชิงจือเสียหน่อย หากเป็นฝีมือชิงจือ เก๋อจินจะโดนหลอกตบตาได้อย่างไร”
ลิ่นเฉิงโย่วตอบว่า “ย่อมเป็นเพราะชิงจือก็รู้ศิลปะการเปล่งเสียงเหมือนกันน่ะสิ”
ทุกคนต่างสะดุ้งโหยงทันใด
เฮ่อหมิงเซิงตกตะลึงอ้าปากค้าง “ซื่อจื่อ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร หากชิงจือมีความสามารถเรื่องการเปล่งเสียงป่านนี้คงมีคนรู้ไปแล้ว หรือท่านอยากจะบอกว่าอยู่ๆ เหยาหวงก็สอนศิลปะการเปล่งเสียงให้ชิงจือกัน”
เหยาหวงเพียงคลี่ยิ้มน้อยๆ “ซื่อจื่อเจ้าคะ ศิลปะการเปล่งเสียงให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ที่สุด หาใช่สิ่งที่มุมานะพากเพียรก็จะเรียนได้สำเร็จ หรือต่อให้มีพรสวรรค์ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาร่ำเรียนสองสามปีถึงจะมีความคืบหน้าให้เห็น ปกติข้าน้อยกับชิงจือไม่เคยพูดจากันเลยสักคำ เรื่องนี้จะอธิบายจากตรงที่ใดได้เล่า”
ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มเยาะ “ข้าก็อยากรู้ต้นสายปลายเหตุจึงตามหาบันทึกเกี่ยวกับบ้านเกิดของทุกคนในหอไฉ่เฟิ่งมาดูรอบหนึ่ง ชิงจือบ้านเกิดอยู่สิงหยาง กลับบอกว่าตนเองเป็นคนบ้านเดียวกับชาวเยวี่ยโจว ข้าไม่เจอว่าในหอไฉ่เฟิ่งมีชาวสิงหยาง กลับหาเจอว่ามีคนผู้หนึ่งบ้านเกิดอยู่เยวี่ยโจว คนผู้นี้ถูกขายมาเมื่อเจ็ดปีก่อน สัญญาขายตัวเขียนว่านางมีน้องสาวผู้หนึ่ง น่าเสียดายยังไม่ทันถูกขายออกมาน้องสาวของคนผู้นี้ก็ป่วยตายไปก่อนแล้ว”
ภายในห้องโถงเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง มีแม่นางหลายคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกับเหยาหวงค่อยๆ เผยแววตาหวาดหวั่นขวัญผวา
“บิดามารดาคนผู้นี้เดิมทีเป็นนักดนตรีกองสังคีต สามารถขับร้อง เล่นพิณผีผา* ได้ดี ชำนาญศิลปะการเปล่งเสียง สามารถส่งเสียงร้องแปลกประหลาดได้ บุตรสาวทั้งสองคนต่างสืบทอดความสามารถของบิดามารดา อายุยังน้อยก็สามารถเปลี่ยนเสียงร้องได้หลากหลาย สามีภรรยานักดนตรีแซ่เนี่ยคู่นี้ต้องรับโทษในคดีก่อกบฏของหลี่ชางเม่าในเขตเจียงหนานเมื่อเจ็ดปีก่อน ผ่านไปไม่นานก็ตายในคุก บุตรสาวคนเล็กป่วยตาย บุตรสาวคนโตก็ถูกขาย หรือก็คือแม่นางเหยาหวงในตอนนี้นั่นเอง
พอได้ยินเช่นนี้รู้สึกคุ้นหูใช่หรือไม่ ชิงจือเองก็โดนขายเมื่อเจ็ดปีก่อน สิ่งที่แตกต่างกันคือคนหนึ่งบ้านเกิดอยู่สิงหยาง ส่วนคนหนึ่งบ้านเกิดอยู่เยวี่ยโจว แต่ชิงจือไม่ยอมรับว่าตนเองมีน้องสาว กลับยืนกรานว่าตนนั้นมีพี่สาวแทน นางได้ยินว่าอนุภรรยาแซ่หรงของเถ้าแก่คนก่อนเป็นชาวเยวี่ยโจว ก็หลุดปากว่าตนเองเป็นคนบ้านเดียวกับหรงซื่อ จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าชิงจือไม่เคยล้มเลิกการตามหาเบาะแสของพี่สาว เอาเงินที่เก็บออมไว้ไปฝากคนสืบข่าวคราวประจำ สวรรค์ย่อมช่วยเหลือผู้มีใจพากเพียร เมื่อวันที่สองเดือนก่อนนี้เองชิงจือกับพี่สาวร่วมสายเลือดจดจำกันได้แล้ว ซึ่งคนผู้นี้ก็คือเหยาหวง”
ห้านักพรตมองหน้าลิ่นเฉิงโย่วสลับกับเหยาหวง ถลึงตาปูดโปนเสียงยิ่งกว่ากระดิ่งสำริด ต่อให้ชิงจือจู่ๆ ฟื้นคืนชีพจากความตายอย่างไม่คาดฝัน ก็ยังไม่ทำให้พวกเขาตกตะลึงเท่าเรื่องนี้เลย
เถิงอวี้อี้หวิดจะปัดถ้วยน้ำอ้อยหกคว่ำ ตอนแรกนึกว่าเหยาหวงซื้อตัวชิงจือไปแล้ว ที่แท้พวกนางสองคนเป็นพี่น้องกัน เหยาหวงรูปโฉมงดงามเฉิดฉาย ชิงจือกลับมีผิวพรรณหยาบกร้านดำคล้ำ เวลานำทั้งสองคนมาอยู่รวมกัน ใครก็คิดไม่ถึงว่าเหยาหวงจะเป็นพี่สาวของชิงจือ
ทว่าหากเพ่งพินิจดูให้ละเอียดจะสังเกตเห็นว่าคิ้วและดวงตาของคนทั้งสองมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง เพียงแต่เหยาหวงท่วงทีกิริยาอ่อนโยนละมุนละไม ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นกลับมีพฤติการณ์หยาบกระด้างไม่งดงาม หากมิตั้งใจเปรียบเทียบอย่างจริงจังคงยากจะพบว่าพวกนางมีส่วนที่คล้ายกัน
เฮ่อหมิงเซิงกับเอ้อจีอ้าปากค้างไม่รู้จะกล่าวต่อไปเช่นไร
ว่อจีกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน “ซื่อจื่อเจ้าคะ เหยาหวงเป็นพี่สาวแท้ๆ ของชิงจือจริงหรือ”
ลิ่นเฉิงโย่วส่งเสียงตอบรับ “ในสัญญาขายตัวของเหยาหวงเขียนไว้ชัดเจน เดิมนางแซ่เนี่ย ชื่อเล่นอาฝู น้องสาวชื่อเล่นอาฉวี ตอนถูกขายเหยาหวงอายุสิบขวบแล้ว ชิงจือก็อายุเจ็ดแปดขวบ สำหรับพวกนางสองคนความทรงจำยามเยาว์วัยสลักลึกลงในเนื้อหนังและกระดูกไปนานแล้ว ไม่อาจลืมเลือนบ้านเกิด ยิ่งไม่มีทางลืมเลือนศิลปะการเปล่งเสียงที่เคยเรียนมา ดังนั้นถึงแม่นางเหยาหวงจะเป็นหญิงสาวดาวเด่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วฉางอันแล้ว ขอเพียงนางมีโอกาสย่อมอดใจไม่อยู่เผยความสามารถด้านการเปล่งเสียงออกมา คิดว่าเหตุผลหนึ่งคงทำเพื่อระลึกถึงบุพการีทั้งสอง อีกเหตุผลคือกลัวตนเองจะหลงลืมวิชาที่อาจจะไร้ผู้สืบทอดนี้ ส่วนชิงจือแม้จะไม่เคยเผยความสามารถด้านนี้ออกมา แต่เมื่อครั้งยังเล็กก็ร้องประสานเสียงประหลาดไปกับพี่สาวได้ ต่อให้หลายปีมานี้ฝีมือถดถอยไปบ้าง จะให้เลียนเสียงสตรีวัยกลางคนก็ไม่ใช่ปัญหาเลย”
เก๋อจินกรีดร้องเสียงแหลม “เป็นเจ้าจริงรึ! ข้ากับเจ้าวันวานไร้เรื่องบาดหมาง วันนี้ไร้ความแค้นเคือง เหตุใดเจ้าต้องทำร้ายข้าเช่นนี้ด้วย!”
เว่ยจื่อโกรธจัดจนหางคิ้วโก่งสวยชี้ขึ้น ลุกเดินโซเซตรงมาหาเหยาหวง “ข้ากับเจ้าปกติสนิทสนมกันดี เจ้ากับชิงจือร่วมมือกันทำร้ายเก๋อจินยังไม่พอ แม้แต่ข้าก็ไม่ละเว้น ทั้งที่เจ้ารู้ดีว่าข้าทำอัญมณีแห่งโม่เหอหายไปแล้วไม่กล้าแจ้งความ ถึงเวลานั้นมีร้อยปากก็ไม่อาจแก้ต่างได้ เจ้ากลับจงใจให้ชิงจือขโมยของสิ่งนี้มาใส่ร้ายข้า!”
สีหน้าเหยาหวงยังคงรักษาความเยือกเย็นไว้ได้ ทว่าฝีเท้ากลับถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
เว่ยจื่อตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องคว้าตัวนางมาเค้นถามให้รู้เรื่อง ภายในห้องโถงจึงอลหม่านวุ่นวายไปหมด
เฮ่อหมิงเซิงกระทืบเท้าโมโห “ยังไม่รีบไปห้ามพวกนางอีก!”
ว่อจีกับเอ้อจีรีบร้อนวิ่งเข้าไปหาพวกนาง
เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนสีหน้าเคร่งเครียด พลันตบโต๊ะ “พอที!”
บรรดาเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ส่งเสียงขานรับ ชักดาบวิ่งกรูเข้ามาในห้องโถง พอทุกคนมองปราดไปเห็นประกายคมดาบวาววับเย็นเยียบบรรยากาศก็กลับมาสงบเรียบร้อยโดยพลัน
ลิ่นเฉิงโย่วเห็นว่าวุ่นวายไปพอสมควรแล้ว ก็ชูหลักทรัพย์จำนำในมือขึ้นมาแล้วเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “เกรงว่าชิงจือขนาดฝันก็คงคิดไม่ถึง พี่สาวที่นางลำบากลำบนตามหามานานปีจะอยู่ในหอไฉ่เฟิ่ง นางขโมยของไปจำนำ เอาเงินที่แลกมาได้ไปฝากคนสืบข่าวคราว ตอนแรกนางเจาะจงเลือกของที่ไม่สะดุดสายตา ผ่านไปหลายครั้งเข้าก็ยังไม่มีคนสังเกตเห็น ทำให้นางยิ่งใจกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ถึงคราวขโมยของพี่สาวตนเอง ในหลักทรัพย์จำนำเขียนว่าวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสิบสองนางเอาปิ่นระย้าไปจำนำ เมื่อวันที่สองเดือนก่อนเพิ่งไปไถ่คืนมา คาดว่าก็ช่วงไม่กี่วันนี้นี่ล่ะที่ชิงจือบังเอิญรู้ความจริงว่าเจ้าเป็นพี่สาวของนาง