ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 5-6
หนึ่งปี…
เด็กสองคนมองแผ่นหลังลิ่นเฉิงโย่วพลางหลั่งน้ำตา ศิษย์พี่ช่างใจคอโหดเหี้ยมยิ่งนัก สั่งลงโทษพวกเขาครั้งนี้ไม่พอ ยังตัดแม้กระทั่งโอกาสแอบกินในวันข้างหน้าไปอย่างสิ้นเชิง
ลิ่นเฉิงโย่วหยิบลูกธนูออกมาอีกดอก ถอนใจแล้วเอ่ยว่า “น้อยใจใช่หรือไม่ หรือหวาดกลัวเข้าแล้ว รู้สึกว่าศิษย์พี่ดีต่อพวกเจ้าไม่มากพอสินะ”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรีบยืดอกผึ่งผาย “ทั้งไม่น้อยใจแล้วก็ไม่กลัวด้วย! ศิษย์พี่ดีกับพวกเราที่สุดแล้ว ศิษย์พี่มีพรสวรรค์ดั่งฟ้าประทาน ตราบใดที่มีศิษย์พี่อยู่ ไม่มีปีศาจมารร้ายตนใดที่ปราบไม่ได้”
เด็กทั้งสองเช็ดมุมปากเล็กน้อยแล้ววิ่งฉิวเข้าไปในค่ายกลอย่างว่องไว
สีหน้าลิ่นเฉิงโย่วจึงกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง ก่อนหันหน้าไปถามองครักษ์ “ตามหาคนจากจวนอันกั๋วกงเจอรึยัง”
“แม้สองสามวันก่อนอันกั๋วกงจะได้รับเทียบเชิญ แต่ตอบปฏิเสธไปแล้วโดยอ้างว่ามีปัญหาสุขภาพ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีสตรีนางใดในจวนมาร่วมงาน ไม่รู้ว่า ‘ฮูหยินอันกั๋วกง’ ท่านนี้โผล่มาจากที่ใดกัน ตอนนี้ส่งคนเร่งมุ่งหน้าไปจวนอันกั๋วกงโดยด่วนแล้วขอรับ”
เรื่องราวเป็นดังคาดหมาย ลิ่นเฉิงโย่วถามอีกว่า “เสด็จอาอยู่ข้างนอกหรือไม่”
“ฉุนอันจวิ้นอ๋องยังปักหลักบัญชาการด้วยตนเองอยู่ด้านหน้า แขกเหรื่อต่างรีบร้อนไปจากที่นี่ โชคดีมีจวิ้นอ๋องควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ แต่มีคนของจวนเจิ้นกั๋วกงมาถึงแล้วขอรับ”
“จวนเจิ้นกั๋วกง?”
“แม่ทัพน้อยต้วนแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงกับบุตรสาวของแม่ทัพเถิงหมั้นหมายกันตั้งแต่เล็ก คืนนี้คนสกุลต้วนก็บังเอิญอยู่ที่หอจื่ออวิ๋น พอได้ยินว่าเกิดเรื่องกับสกุลเถิง แม่ทัพน้อยต้วนกับฮูหยินหย่งอันโหวจึงรีบมาดูแลขอรับ”
ลิ่นเฉิงโย่วคิดทบทวนครู่หนึ่งถึงนึกออกว่าบุตรสาวของแม่ทัพเถิงเป็นผู้ใด เขามองไปทางระเบียงฝั่งตะวันตกอย่างไม่ใส่ใจจึงเห็นเถิงอวี้อี้กับเวินกงกงช่วยกันลากบ่าวชายของนางเข้าไปในห้องพอดี ส่วนยาเม็ดสุดท้ายที่ว่านั่นเกรงว่าคงลงท้องบ่าวชายผู้นั้นไปแล้ว
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งจะมาร้องไห้คร่ำครวญกับเขาเช่นนั้น
“ย้ายพวกเขาไปอยู่ที่อื่นให้หมดแล้วสั่งปิดตายศาลาหลั่นสยา ไม่อนุญาตให้ใครมาเข้าใกล้เด็ดขาด”
บ่าวไพร่ต่างตะลึงงันไปตามๆ กัน นี่ซื่อจื่อคงรังเกียจว่าคนเหล่านั้นเกะกะขวางทาง ทว่าเดิมทีก็สมควรจัดการเช่นนี้แต่แรก เพราะบริเวณนี้มีโอกาสเคราะห์ร้ายมากกว่าอยู่แล้ว
“ขอรับ ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อแยกย้ายกันไปประจำตำแหน่งทั้งสี่ทิศ ก่อนกัดปลายนิ้วเพื่อใช้เลือดทาลงไปบนไม้สยบมารในมือ “ศิษย์พี่ ปีศาจตนนี้มีที่มาเช่นไรกันแน่ คืนนี้ทำร้ายคนไปมากเท่าใดแล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วหยิบยันต์แผ่นหนึ่งออกมาจุดไฟเผาตรงปลายนิ้ว เปลวไฟลุกโชนส่องสะท้อนนัยน์ตาดำขลับของเขาให้แวววาวดั่งอัญมณี
“มันซุ่มโจมตีสี่หญิงหนึ่งชายแถวริมแม่น้ำ สอดคล้องกับการคำนวณวิชาจื่อเวยพอดี ข้าเดาว่าวิญญาณดั้งเดิมในร่างอาศัยคงใกล้สลายไปในไม่ช้า จำเป็นต้องรีบหาจิตวิญญาณใหม่มาบำรุงเสริมอวัยวะตันทั้งห้า”
ชี่จื้อรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง “ศิษย์พี่ ในเมื่อร่างอาศัยเดิมสภาพย่ำแย่ เปลี่ยนร่างไปเสียก็จบเรื่องแล้วมิใช่หรือ ไยต้องลำบากทุ่มเทแรงกายแรงใจออกไปค้นหาจิตวิญญาณใหม่ห้าดวงด้วยเล่า”
ลิ่นเฉิงโย่วจ้องมองแผ่นยันต์เงียบๆ ท่าทางดูเหมือนกำลังจมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด
ชี่จื้อกับเจวี๋ยเซิ่งหันมามองหน้ากัน ใจเต้นตึกตักหวาดระแวง ศิษย์พี่รู้สึกว่าตรงที่ใดผิดปกติใช่หรือไม่
ลิ่นเฉิงโย่วลงอาคมยันต์ไว้บนหัวลูกธนูเรียบร้อย ก็ยกขึ้นเล็งไปยังกระดิ่งเหล็กที่แขวนอยู่ใต้ชายคาเรือนโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ จากนั้นน้าวสายธนูจนตึงแล้วยิงต่อเนื่องสี่ดอกติดกันไปทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้ และทิศเหนือ ครบสี่ทิศ ลูกธนูพุ่งเข้าเป้าหมายอย่างแม่นยำไม่มีพลาดสักดอกเดียว
เจวี๋ยเซิ่งตบหน้าผากพลางว่า “ข้ารู้แล้ว ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเคยบอกไว้ ปีศาจก็มีใจรักสวยรักงามเช่นกัน ฮูหยินท่านนี้รูปโฉมงดงามล้ำเลิศ เจ้าปีศาจจะต้องตัดใจจากรูปลักษณ์ของนางไม่ลงแน่ ศิษย์พี่ ข้าเดาถูกใช่หรือไม่ขอรับ”
ลิ่นเฉิงโย่วหยิบลูกธนูดอกที่ห้าพาดสาย ยังคงไม่ยอมต่อบทสนทนากับอีกฝ่าย ลูกธนูหัวทองคำหลุดจากสาย ยิงตรงไปยังตรงกลางระหว่างคิ้วของฮูหยินอันกั๋วกง
ฮูหยินอันกั๋วกงมองเห็นลูกธนูดอกนั้นเข้ามาใกล้ทุกขณะ สีหน้าเย้ยหยันค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย้ายวน ไม่รอให้ลูกธนูจ่อตรงหน้านางก็ดึงโซ่เหล็กขึ้นจากพื้นดินได้อย่างเหลือเชื่อ
“เสียแรงที่เจ้าเกิดมาหล่อเหลา กลับเป็นคนไร้หัวจิตหัวใจ เจ้าแข็งใจลงมือกับใบหน้างามเช่นนี้ได้จริงหรือ”
เจวี๋ยเซิ่งไม่ทันตั้งตัว เขาโดนพลังสายนี้ฉุดให้ล้มลงกับพื้น คิดจะแย่งชิงโซ่เหล็กกลับมาทันที แต่สุดท้ายสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ไหว ถูกลากออกไปจากค่ายกลจนได้
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อตกใจหน้าถอดสี “ศิษย์พี่! ปีศาจถูกหนอนล่ามวิญญาณมัดไว้แล้วมิใช่หรือ เหตุใดกล่าวว่าจะทำลายค่ายกลก็ทำได้ง่ายๆ เช่นนี้”
ฮูหยินอันกั๋วกงลอยสูงขึ้นไปในอากาศ หมุนเคว้งคว้างราวลมพายุกระโชกแรง โซ่เหล็กกระทบกันเสียงดังเคร้งคร้างกังวาน โอบล้อมพันร่างนางไล่ระดับจากล่างขึ้นบนชั้นแล้วชั้นเล่า
“คิดว่าหนอนตัวเล็กกระจ้อยเหมือนเส้นบะหมี่เช่นนี้จะมัดร่างข้าไว้ได้อย่างนั้นหรือ”
นางบีบโซ่เหล็กที่กลายร่างมาจากหนอนตัวนั้นเอาไว้แน่น พอออกแรงเล็กน้อยก็ทำให้โซ่เหล็กส่งเสียงครืด ฟังดูคล้ายเสียงแมลงร้องระงม จากนั้นจึงขยับผ้าคลุมไหล่ปักลายของตนให้สั่นไหว ผ้าแพรเนื้อนิ่มสีขาวดุจหิมะพุ่งออกไปไวปานดาวตก ประหนึ่งกลายร่างเป็นอสรพิษสีเงิน ชั่วพริบตาเดียวก็พันร่างเจวี๋ยเซิ่งเอาไว้
“ศิษย์พี่ของพวกเจ้าน่าจะหาเด็กตัวเท่านี้มาอีกสักหลายคน เด็กขาวๆ อวบๆ เป็นอาหารอันโอชะเซ่นฟันข้าพอดี”
ปีศาจตนนี้เคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งลมพายุ เจวี๋ยเซิ่งไม่ทันป้องกันตัวก็ถูกม้วนขึ้นไปกลางอากาศ ยามวิกฤตเขาฟาดไม้สยบมารสะเปะสะปะทว่าก็ไม่เกิดประโยชน์เลยแม้แต่น้อย พอเห็นว่าริมฝีปากสีแดงดั่งโลหิตของฮูหยินอันกั๋วกงเผยออ้าพร้อมโผเข้าใส่ตนเอง จึงยกแขนอวบอ้วนปัดป้อง ร้องโวยวายเหมือนสุกรถูกเชือด
“ศิษย์พี่!”
ท้องฟ้าเหนือลานกว้างพลันทอประกายสีทองเจิดจ้า แสงสว่างบาดตาฮูหยินอันกั๋วกง พละกำลังฝ่ามือถดถอยลงบางส่วน เจวี๋ยเซิ่งฉวยโอกาสใช้กระบี่สั้นในอกเสื้อตัดผ้าคลุมไหล่ขาดสะบั้น ร่างกายจึงร่วงหล่นกระแทกพื้นดิน