ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 5-6
ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเหล่าองครักษ์เก็บกรงเล็บขาดวิ่นข้างหนึ่งได้จากในป่า คิดว่าต้องเป็นกรงเล็บของปีศาจตนนี้แน่ เห็นได้ชัดว่าเวลานั้นมียอดฝีมือสูงส่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย มิฉะนั้นปีศาจตนนี้จะเสียเปรียบครั้งใหญ่ได้อย่างไร
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อไม่มีเวลามาตะลึงงัน พวกเขาเร่งปลุกพลังไม้สยบมาร ร่างเดิมถูกผลักออกมาส่วนหนึ่งแล้ว เป็นโอกาสงามในการแย่งชิงกายเนื้อกลับคืนมาพอดี
ปีศาจเฒ่ารีบร้อนจะหนีกลับเข้าไปในร่างอาศัย อดกลั้นต่อความเจ็บปวดยามเนื้อตัวแตกยับเป็นแผลแล้วเค้นกลุ่มหมอกสีดำออกจากภายใน
ไอหมอกค่อยๆ เกาะกลุ่มหนาทึบราวกับควันไฟ พริบตาเดียวก็ห้อมล้อมรอบกายปีศาจ ไม่เพียงเท่านี้ยังแผ่กระจายไปหาลิ่นเฉิงโย่วที่อยู่ข้างหลังอย่างรวดเร็ว
“เป็นปราณพิฆาต!” เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื่อร้องตะโกนเสียงหลงออกมาพร้อมกัน “ศิษย์พี่ระวังด้วย!”
ปราณพิฆาตจากปีศาจเฒ่าที่บำเพ็ญเพียรมานานนับร้อยปีขึ้นไป เมื่อใดสัมผัสโดนพลังปราณแท้จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ปีศาจเฒ่าหมายฉวยโอกาสนี้แย่งชิงกายเนื้อฮูหยินอันกั๋วกงกลับมา แต่ในตอนนี้เองปลายนิ้วลิ่นเฉิงโย่วก็เผายันต์อีกแผ่น ชิงนำหน้าก้าวหนึ่งไปสกัดจุดเฟิงฉือ* ของฮูหยินอันกั๋วกงเอาไว้
รากวิญญาณของร่างอาศัยโดนปิดกั้น หากยังหาหนทางอื่นกลับเข้าไปไม่ได้จะต้องสูญเสียกายเนื้อของหญิงงามเช่นนี้ไปแน่ ปีศาจเฒ่าโมโหจนแทบอกแตกตาย หลังจากมึนงงไปชั่วขณะก็หันขวับกลับไปข่มขู่เสียงเหี้ยมเกรียมว่า “เจ้าเด็กอวดดี ข้าจะเอาชีวิตเจ้าเดี๋ยวนี้!”
ลิ่นเฉิงโย่วหัวเราะลั่นพลางกล่าว “อย่างเจ้าน่ะหรือ” ก่อนจะพลิกกายตีลังกาไปด้านหลัง ลากร่างฮูหยินอันกั๋วกงออกไปนอกลานกว้าง
ยามนี้เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อขวัญกำลังใจฮึกเหิม ศิษย์พี่ฝีมือไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้จริงๆ ในเมื่อชิงกายเนื้อของร่างอาศัยกลับมาได้แล้ว ต่อจากนี้ทุกอย่างจะจัดการง่ายขึ้นมาก
องครักษ์ตรงหน้าประตูนำขันทีกลุ่มหนึ่งยกเกี้ยวหลังเล็กมาพอดี ลิ่นเฉิงโย่วทิ้งร่างฮูหยินอันกั๋วกงที่สลบไสลไม่ได้สติไว้ในเกี้ยวพลางเอ่ย “ปีศาจตนนี้รับมือยากนัก เร่งเคลื่อนย้ายคนเจ็บไปไว้ที่อื่นเถอะ”
ปีศาจเฒ่าถลึงดวงตาเรียวเล็กสีเขียวเข้มจ้องมอง ดวงตาคู่นั้นฉายแววเคียดแค้นเจียนคลั่ง แม้ว่ากรงเล็บจะหายไปข้างหนึ่ง แต่อีกข้างที่เหลือก็ขยับยืดหดได้ดังใจ นางแผดเสียงคำรามประหลาดดังกึกก้องสะท้านฟ้า ไม่ปล่อยให้ลิ่นเฉิงโย่วหันหลังกลับมาได้ทัน ก็พุ่งไปคว้าแผ่นหลังเขาอย่างดุดัน
“ศิษย์พี่ ระวัง!”
ลิ่นเฉิงโย่วใช้ลูกธนูหัวทองคำในซองหนังจนหมดเกลี้ยงแล้ว เขารับรู้ได้ถึงเสียงลมพัดวูบมาจากด้านหลังทว่ากลับไม่เบี่ยงกายหลบแต่อย่างใด แขนเสื้อคลุมสะบัดพลิ้วไหวเบาๆ ในมือก็มีดาบโค้งโผล่มาเล่มหนึ่ง
พอสัมผัสได้ว่าปีศาจตนนั้นขยับเข้ามาใกล้เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วเอนตัวไปด้านหลัง กางแขนทั้งสองข้าง อาศัยแรงลมยามค่ำคืนลื่นไถลกลับไปที่กลางลานกว้างอย่างสบายๆ
หมอกสีดำบนร่างปีศาจสลายหายไปหมดแล้ว เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง
พลังฝีมือของนางไม่อ่อนด้อย บำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว มองครู่แรกก็ดูไม่ต่างจากหญิงชราธรรมดา เพียงแค่บริเวณลำคอกับแขนยังหุ้มด้วยเปลือกไม้สีน้ำตาล มุมปากกับหน้าผากเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นราวกับผ่านการกัดกร่อนของกาลเวลามานานนับร้อยปี
ตอนนางกระโจนเข้าใส่ลิ่นเฉิงโย่วเส้นผมสีเงินบางหร็อมแหร็มปลิวไสวกลางสายลม เมื่อปอยผมตกลู่ลงข้างใบหูยิ่งขับเน้นใบหน้าซูบผอมแก้มตอบให้เด่นชัด
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเอ่ยขึ้นว่า “เสียแรงที่พวกเราอุตส่าห์เดาว่านางเป็นปีศาจดอกไม้จำพวกดอกโบตั๋นหรือดอกเสาเย่าที่แท้ก็เป็นแค่ปีศาจต้นไม้ คงเป็นเพราะบำเพ็ญเพียรให้มีหน้าตางดงามไม่ได้ ก็เลยต้องอาศัยรูปลักษณ์ของหญิงงามสินะ”
ลิ่นเฉิงโย่วจับดาบมั่นสกัดการโจมตี ในใจกลับรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่ามีบางสิ่งไม่ปกติ บนท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เหนือศีรษะเขายิ่งทวีความลึกล้ำดำมืดกว่าเดิมไปทุกขณะ หากมีสี่สตรีหนึ่งบุรุษหมดสติจริง การคาดการณ์ของเขาไม่มีทางผิดพลาด
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกลับรู้สึกว่ามีตรงที่ใดสักแห่งไม่ถูกต้อง หางตาเหลือบเห็นเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเสียสมาธิ เขาจึงเอ่ยข่มขวัญว่า “พวกเจ้าไม่ตั้งใจรักษาค่ายกลให้ดี จะรอให้ปีศาจมาแก้แค้นหรือไร”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อไม่กล้าจ้องมองอีกต่อไป ตอนท่านอาจารย์สอนเรื่องค่ายกลนี้กับพวกเขาก็เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของ ‘สามข้อห้าม’ คือ ‘ไม่ฟัง ไม่ถาม ไม่กลัว’
หากว่าตามคำพูดของท่านอาจารย์ พวกเขาสองคนมีดวงชะตาเป็นนักพรตน้อยซานชิง ที่มีตราทองคำติดตัว ขอเพียงพวกเขารักษาค่ายกลอู่จั้งไว้ให้ดี ต่อให้ปีศาจจะเก่งกาจสักเพียงใด ก็ไม่อาจทะลวงกรงขังออกไปได้
ยิ่งไปว่านั้นศิษย์พี่ยังกางตาข่ายทองคำผานหลัวบนท้องฟ้าเหนือลานกว้างเรียบร้อย ของวิเศษชิ้นนี้ควบคุมพลังชั่วร้ายได้ยอดเยี่ยมที่สุด นอกเสียจากว่าปีศาจจะบำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นมารไปแล้ว มิฉะนั้นจะไม่มีทางเรียกพรรคพวกจากใจกลางตาข่ายได้เด็ดขาด
ปีศาจตนนั้นกระโดดมาได้ครึ่งทางก็หันขวับกลับไปกะทันหัน ไม่เข้าไปปะทะกับลิ่นเฉิงโย่วซึ่งหน้าอีก แต่หมุนกายไปอีกทางเพื่อคว้าชี่จื้อที่อยู่ใกล้ที่สุดแทน
ชี่จื้อสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นคาวสกปรกพุ่งเข้าใส่หน้า เขารู้สึกตระหนกลนลานอย่างห้ามไม่อยู่ แต่พอคิดว่ามีศิษย์พี่โฉบเฉียดไปมานอกค่ายกล ก็สงบเยือกเย็นลงได้อีกครั้ง
เป็นอย่างที่คิดไว้ ปีศาจยังไม่ทันเข้าใกล้ ลิ่นเฉิงโย่วก็รุกไล่โจมตีมาถึงแล้ว ยามต่อกรกับสิ่งชั่วร้ายเขาไม่สนใจกรอบกฎเกณฑ์มาแต่ไหนแต่ไร ถึงคราวลงมือก็ฟันคอปีศาจตนนั้นทันที
ปีศาจเฒ่าเอียงศีรษะหลบแล้วกางกรงเล็บตะครุบไหล่กลับ “ลิ่นเฉิงโย่ว เจ้าเลือดเย็นปานนี้ มีส่วนใดเหมือนคนลัทธิเต๋าบ้าง”
“น่าขำ เต๋าอยู่ในใจ มารอยู่ตรงหน้า หากยั้งมือไว้ไมตรีกับปีศาจร้ายอย่างพวกเจ้า เช่นนี้จึงถือว่าไร้เมตตาต่อเหล่าอาณาประชาราษฎร์แล้ว”
“ทั้งที่เป็น ‘ตัวหายนะ’ ร้ายแรงแท้ๆ ไยต้องพูดจาสร้างภาพให้ดูสูงส่ง เจ้าเป็นบุรุษข้าเป็นสตรีมีข้อแตกต่าง เดิมทีข้าไม่ใช้รูปลักษณ์ของเจ้าอยู่แล้ว แต่เห็นแก่ที่เจ้าหน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ วันนี้ข้าอยากแต่งตัวเป็นคุณชายหนุ่มน้อยดูบ้าง ก่อนลงมือบอกกล่าวเจ้าไว้ล่วงหน้าสักคำ เจ้าจะได้รู้ว่าตนเองตายเพราะเหตุใด”
ลิ่นเฉิงโย่วหัวเราะเสียงกังวาน “สมกับเป็นปีศาจต้นไหวเฒ่าตรงเชิงเขาหลี่เฉวียน พลังตบะที่สั่งสมมานานนมคงใช้ไปกับการฝึกวิชาหนังหนาหมดสินะ ข้ามีอานม้าอยู่เยอะแยะแต่ไม่เคยเห็นอานล้ำค่าทำจากเปลือกต้นไม้เฒ่าอายุเป็นพันปีเลย ในเมื่อหนังหน้าเจ้าหนาปานนี้ ถลกมาให้ข้าทำอานม้าเล่นดูหน่อยเป็นอย่างไร”
ดวงตาปีศาจเฒ่าเปล่งประกายวูบไหว ลิ่นเฉิงโย่วจะพ่นวาจาสามหาวเฉยๆ ก็แล้วไปเถอะ ไม่น่าเชื่อว่าจะมองทะลุเบื้องหลังของนางเร็วถึงเพียงนี้
ระหว่างที่คุยเล่นกันอยู่ลิ่นเฉิงโย่วก็ส่งคมดาบมาจ่อตรงหน้า ประกายดาบขาวสว่างวาบเหมือนไอเย็นเยียบในดวงตาเขาไม่มีผิด
ปีศาจไม่กล้าดูแคลนกระบวนท่าเหล่านี้ กรงเล็บขนาดใหญ่หดกลับมาแล้วตกลงบนตำแหน่งหลีกลางค่ายกลอย่างจนมุม
ตำแหน่งหลีถือเป็นหนึ่งในตำแหน่งอินกงทั้งสี่ เป็นกรงขังบั่นทอนอิทธิฤทธิ์ปีศาจโดยเฉพาะ ซึ่งแตกต่างจากตำแหน่งหยางกงทั้งสี่ ที่นักพรตน้อยสองคนนั้นรักษาอยู่
ปีศาจเฒ่ายืนอยู่กับที่แค่ครู่เดียวก็รู้สึกนัยน์ตาพร่าเลือน ตระหนักได้ว่าหากถูกขังอยู่ในค่ายกลนี้นานเข้า พลังตบะทั้งหมดที่สั่งสมในร่างต้องสลายหายไปหมดแน่
นางลองคำนวณดูคร่าวๆ ก็พบว่าใกล้จะได้เวลาอันเหมาะสมจึงนั่งลงขัดสมาธิแล้วยกแขนขึ้น ก่อนจะตัดนิ้วตนเองทิ้งหนึ่งนิ้วท่ามกลางแสงสลัวยามราตรี หยดเลือดสาดกระเซ็นลงบนพื้นดินราวกับดอกเหมยสีแดงนับหมื่นบานสะพรั่ง
ปีศาจสะกดกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวขณะปักนิ้วที่ขาดกลางลานกว้าง
ลิ่นเฉิงโย่วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เหาะโฉบมาถึงเหนือศีรษะปีศาจ ทว่ายังไม่ทันลงมือปีศาจพลันระเบิดรัศมีมืดมนรอบกายออกมา พลังคล้ายดาบน้ำแข็งไร้รูปฟันอกเขากลางอากาศจนร่างกระเด็นออกไปไกลทันที
ลิ่นเฉิงโย่วตื่นตระหนกอย่างที่สุด รับรู้ได้ว่าเลือดลมในอกปั่นป่วน ถือโอกาสพลิกตัวตีลังกาหลบหลีก กลับยังสลัดพลังแปลกประหลาดนั่นไปไม่พ้น เขารีบปักดาบลงดินแล้วฝืนทรงตัวให้มั่นคงไว้ได้
เลือดในกายประหนึ่งมีก้อนน้ำแข็งไหลทะลักเข้าไปมหาศาล ความเย็นยะเยือกจับใจแผ่ปกคลุมไปทุกรูขุมขน เขากำลังจะลุกขึ้นยืน จู่ๆ เลือดสีแดงสดก็ไหลทะลักผ่านลำคอออกมา
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้ออดใจไม่ไหวลืมตาขึ้นมา “ศิษย์พี่!”
เหล่าองครักษ์ทางนั้นกำลังคุ้มกันส่งกลุ่มคนเจ็บออกมาจากห้อง เนื่องจากรู้ดีว่าปีศาจอยู่กลางลานกว้างจึงไม่กล้าเหลียวมองมากนัก
เถิงอวี้อี้ยุ่งอยู่กับการดูแลเกี้ยวหลังเล็กของญาติผู้พี่ทำให้นางอยู่รั้งท้ายขบวน
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องตะโกน นางพลันหันหน้ากลับไปมองด้วยความประหลาดใจ เมื่อเพ่งมองผ่านเงาร่างผู้คนถึงสังเกตเห็นว่าลิ่นเฉิงโย่วคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้นพร้อมไอโขลกไม่หยุด ท่าทางคล้ายได้รับบาดเจ็บ