บทที่ 6
เถิงอวี้อี้รู้สึกตกตะลึง ปีศาจตนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ลิ่นเฉิงโย่วเป็นศิษย์หลานของนักพรตชิงซวีจื่อ คิดว่าเขาคงมีฝีมืออยู่บ้าง แต่นอกจากเขาจะจับปีศาจไม่ได้แล้ว ตนเองยังได้รับบาดเจ็บอีก
พอเหลียวมองไปทางลานกว้างอีกครั้งก็เห็นหญิงชราผมขาวโพลนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางค่ายกล ไอหมอกลอยวนเวียนโดยรอบกักขังนางไว้ หญิงชรายกแขนขึ้นสูงพร้อมขยับริมฝีปากพึมพำไม่หยุด ท่าทางคล้ายกำลังท่องคาถา
กลางค่ายกลยังมีนักพรตน้อยรูปร่างอวบอ้วนนั่งอยู่สองคน ดูท่าคงเป็นศิษย์อารามชิงอวิ๋นเช่นกัน
มีเพียงฮูหยินอันกั๋วกงตัวปลอมนั่น เถิงอวี้อี้มองหาเท่าไรก็หาไม่เจอ นางกำลังรู้สึกประหลาดใจ ทว่าเมื่อกวาดสายตามองให้ทั่วๆ ถึงสังเกตเห็นว่ามือขวาของหญิงชราหายไป
หัวใจนางเต้นโครมคราม ที่แท้หญิงชราผู้นี้ก็คือปีศาจที่ถูกนางฟันกรงเล็บขาดในป่าไผ่ ก่อนหน้านี้ยังใช้รูปลักษณ์ของหญิงงามอย่างฮูหยินอันกั๋วกง สุดท้ายกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว
นี่คงเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางสินะ เถิงอวี้อี้ลูบคลำกระบี่หยกมรกตในกระบอกแขนเสื้ออย่างหวาดหวั่น ลิ่นเฉิงโย่วตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าจะยังปราบปีศาจตนนี้ได้หรือไม่
ลิ่นเฉิงโย่วก้มศีรษะไอโขลก ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังลุกขึ้นมาไม่ไหว มิหนำซ้ำชุดคลุมยาวปักดิ้นทองยังเปรอะเปื้อนคราบโลหิต เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บไม่เบาเลย
เหล่าองครักษ์มีหรือจะเคยเห็นนายน้อยของตนตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ พวกเขาชักดาบออกจากฝักพร้อมตะโกนเรียก “ซื่อจื่อ!”
ลิ่นเฉิงโย่วเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก “เจ้าพวกโง่ ยังไม่รีบไปอีก!”
ปลายนิ้วเขาผุดประกายแสงสีเงินสว่างวาบ พอโบกสะบัดมือก็มียันต์พุ่งออกไปเร็วจี๋ แล้วร่วงลงบนพื้นดินก่อนกลายเป็นเปลวเพลิงลุกลามเป็นแนวยาว
ทันใดนั้นเองเสียงเสียดสีดังสวบสาบก็ลอยขึ้นมาจากใต้ดิน ปีศาจเฒ่ายังไม่ทันลืมตา มุมปากกลับปรากฏรอยยิ้มจางๆ จนเกือบมองไม่เห็น
เหล่าองครักษ์หยุดชะงักฝีเท้ากะทันหัน มิน่าเล่าซื่อจื่อถึงได้โมโหเกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้ ดูจากรูปการณ์แล้วปีศาจเฒ่าคงอยากให้บุกเข้าค่ายกลแทบแย่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าวู่วามอีก รีบหันหน้ากลับไปคุ้มกันทุกคน
“รีบออกไปจากที่นี่เร็วเข้า!”
เถิงอวี้อี้ประคองท่านป้าไว้ รีบชิงนำหน้าเดินหนีออกไปข้างนอก เมื่อก่อนตอนอยู่ที่เมืองหยางโจวนางเคยเห็นผู้สูงส่งของลัทธิเต๋าตั้งแท่นประกอบพิธีกรรม พอมีความรู้ผ่านหูผ่านตามาบ้าง จึงรู้ดีว่าคนนอกไม่อาจเข้าใกล้ตามอำเภอใจได้
กระบี่สั้นทำจากหยกมรกตเล่มนี้เป็นของที่ได้มาโดยไม่คาดคิด นางยังไม่ทันตรวจสอบที่มาที่ไปของกระบี่ให้กระจ่าง ต่อให้ตอนอยู่ในป่าไผ่โชคดีใช้ฟันกรงเล็บปีศาจตนนั้นจนขาดได้ นั่นก็เป็นเพราะฉวยโอกาสตอนมันไม่ทันระวังตัวต่างหาก เวลานี้ปีศาจเฒ่าระแวดระวังเต็มที่ ผลีผลามก้าวออกไปก็เท่ากับรนหาที่ตาย
องครักษ์คอยเปิดทางอยู่ข้างหน้า ชั่วขณะที่ทุกคนกำลังก้าวลงบันได จู่ๆ ก็มีเสียงสั่นสะเทือนดังมาจากใต้ดินเป็นระยะ ตอนแรกไม่น่ากลัวสักเท่าไร ทว่าเสียงนั้นดังชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีบางสิ่งมุ่งหน้ามาจากทุกทิศทุกทาง เสียงฝีเท้าดังถี่รัวตามมาด้วยวิญญาณร้ายโผล่มานับไม่ถ้วน
ชั่วพริบตาเดียวศาลาหลั่นสยาก็มีสภาพเลวร้ายดั่งขุมนรก
ผู้คนตื่นตกใจกันถ้วนหน้า ขาสองข้างติดแน่นอยู่บนขั้นบันได ไม่มีใครกล้าก้าวไปต่อ ทว่าก็ไม่มีใครยอมถอยกลับไปที่ระเบียงทางเดินเช่นกัน
องครักษ์แต่ละคนแข็งแรงปราดเปรียวดุจเสือดาว แต่อย่างไรก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้มาก่อน พวกเขากุมอาวุธในมือไว้โดยไม่รู้จะต่อกรกับวิญญาณร้ายจากปรโลกเหล่านี้เช่นไร
โชคดีที่ลิ่นเฉิงโย่วฝังแผ่นยันต์ล้อมรอบไว้ล่วงหน้า เหล่าวิญญาณเพิ่งโผล่ออกมาก็โดนเผามอดไหม้เป็นกองขี้เถ้า
เพียงแต่ครั้งนี้วิญญาณมีจำนวนมากจนน่าตกใจ เรียกได้ว่าเสมือนเป็นเส้นทางคู่ขนานของอีกภพหนึ่ง ถึงแม้ลิ่นเฉิงโย่วจะลงมือรวดเร็วปานดาวตก ก็ยังมีปลาหลุดรอดตาข่ายไปไม่น้อย
เมื่อใดที่เหล่าวิญญาณฝ่าวงล้อมออกมาได้รูปร่างหน้าตาจะเปลี่ยนแปลงไปโดยพลัน มิใช่กลายร่างให้เหมือนปีศาจน่าเกลียดน่ากลัว ก็ขยายร่างใหญ่พรวดพราดกว่าเดิมหลายเท่า
หนึ่งในบรรดาวิญญาณร้ายที่กลายร่างมีปีศาจไร้หัวร่างสีดำสนิทตนหนึ่งอยู่ใกล้ระเบียงทางเดินมากที่สุด มันสัมผัสได้ว่ามีคนอยู่ด้านหลังจึงขยับร่างหมุนมาอีกทาง ก้าวเท้าโอนเอนไปมาแล้ววิ่งห้อมาทางพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง
เจ้าปีศาจตนนี้แม้จะไร้หัว แต่รูปร่างของมันสูงใหญ่ ทุกย่างก้าวที่วิ่งตรงมาทำให้เสียงพื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงแก้วหู
ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งกอดเสาระเบียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัวไม่หยุด