ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 5-6
เถิงอวี้อี้หยิบกระบี่หยกมรกตออกมา รีบปกป้องตู้ฮูหยินเอาไว้ข้างหลัง เหล่าองครักษ์ชูดาบเตรียมฟาดฟัน แต่เจ้าปีศาจตนนั้นยังไม่ทันเข้าใกล้ ก็ถูกโซ่เส้นหนึ่งที่ลิ่นเฉิงโย่วเหวี่ยงออกมามัดร่างไว้ก่อน
ปีศาจร่างยักษ์ล้มลงกับพื้นเสียงดังโครม จากนั้นถูกโซ่กระชากกลับเข้าเขตค่ายกล มันกวัดแกว่งสองแขนหมายคว้าตัวลิ่นเฉิงโย่ว ทว่ายังไม่ทันแตะต้องกระทั่งชายเสื้อคลุมลิ่นเฉิงโย่วก็กระชับโซ่เหล็กในมือแน่นเข้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เจ้าปีศาจแหลกสลายกลายเป็นผุยผงสีดำสนิทกองอยู่ตรงปลายเท้าเขาราวกับเป็นเพียงภาพลวงตากระนั้น
ทุกคนเริ่มสงบสติอารมณ์ลงได้ ลิ่นเฉิงโย่วเจียดเวลาเงยหน้าขึ้นมอง แววตาคมกริบดุดันกวาดมองไปทั่วก่อนจะหยุดลงบนร่างเถิงอวี้อี้
เถิงอวี้อี้รีบหันกลับไปดูแลเกี้ยวของญาติผู้พี่ รู้สึกว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ผิดปกติอย่างมาก หากนางมองไม่ผิดพวกปีศาจไม่สนใจไยดีพวกลิ่นเฉิงโย่วสามคนที่อยู่ในค่ายกลสักนิด กลับหันมาสนใจพวกนางทางนี้มากกว่า สายตาลิ่นเฉิงโย่วก็แฝงความหมายลึกซึ้งเหมือนครุ่นคิดว่านางซุกซ่อนอะไรแปลกๆ เอาไว้
อาจเป็นเพราะลิ่นเฉิงโย่วได้รับบาดเจ็บใบหน้าจึงซีดขาวกว่าปกติเล็กน้อย ทว่าดวงตาดอกท้อ* คู่นั้นทอประกายเย็นเยียบข่มขวัญ ขับเน้นให้เส้นผมสีดำดั่งน้ำหมึกแลดูโดดเด่น สายตาฉายแววพินิจพิเคราะห์และฉงนสงสัยจางๆ มองสำรวจนางศีรษะจรดเท้าชั่วครู่ก็หันหน้ากลับไป เผอิญปีศาจตนหนึ่งกระโจนเข้ามาตรงหน้าเขาจึงฟันร่างมันขาดเป็นสองส่วน
ตอนนี้องครักษ์เข้าใจสถานการณ์แล้ว ปีศาจเหล่านี้แม้จะดุร้ายน่ากลัวกลับเข้าใกล้คุณชายน้อยของพวกตนไม่ได้เลย ส่วนปีศาจอีกกลุ่มที่คิดจะหลบหนีออกไป ก็โดนลากไปกักขังเอาไว้ในค่ายกล ซื่อจื่อได้รับบาดเจ็บภายใน ไม่อาจตะโกนเตือนพวกตนเต็มเสียงได้ ทว่าก็เปิดเส้นทางหลบหนีให้พวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว
“รีบไป”
ฉวยโอกาสขณะปีศาจเฒ่าผู้นั้นยังมิทันขยับเขยื้อน คุ้มกันพาทุกคนลงบันไดหนีไป จะต้องพาคนเจ็บออกไปเสียก่อน ค่อยไปตามคนมาช่วยเหลือ
เถิงอวี้อี้รีบร้อนพยุงตู้ฮูหยินวิ่งหนี ระหว่างนั้นยังลอบสังเกตสถานการณ์ในลานกว้างไปด้วย
พวกปีศาจต่างโอบล้อมรอบไอหมอกเบาบางคล้ายผ้าเนื้อโปร่งสีดำ ขอเพียงพวกมันตนใดโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดิน หมอกสีดำก็จะหลุดลอยจากร่างไปรวมกันเป็นกลุ่มก้อนทันที ก่อนจะม้วนตัวลอยขึ้นสูงแล้วไหลเข้าไปในโพรงจมูกและรูหูของปีศาจเฒ่า
ปีศาจเฒ่านั่งสงบนิ่งอยู่กลางค่ายกล ทุกครั้งที่สูดหมอกสีดำเข้าไปใบหน้าก็จะสว่างจ้าขึ้นมาหนึ่งส่วน
หากรอจนปีศาจตนนี้สูดเข้าไปมากพอแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุพลิกผันเช่นไรอีก เถิงอวี้อี้กำลังคาดเดาอยู่ในใจ
ตู้ฮูหยินที่อยู่ข้างกายวิ่งหนีอย่างแตกตื่นลนลาน ไม่ทันระวังสะดุดชายกระโปรงตนเองเข้า “อวี้เอ๋อร์”
“ท่านป้า” เถิงอวี้อี้รีบประคองตู้ฮูหยินลุกขึ้นมา นางเงยหน้ามองโดยไม่ตั้งใจ ก็เห็นหญิงชราผู้นั้นลืมตาตั้งแต่เมื่อใดมิทราบได้ นัยน์ตาอาบย้อมด้วยสีน้ำเงินเข้มมืดสลัว จ้องนางเขม็งด้วยแววตาถมึงทึง
เถิงอวี้อี้หรี่ตาลงครุ่นคิด ในลานกว้างมีคนตั้งมากมายเช่นนี้ ปีศาจเฒ่าไม่เหลียวมองผู้ใด กลับเอาแต่จ้องมองนาง แปลว่าจะต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของนางอยู่ตลอด
ปีศาจเฒ่าต้องการจะแก้แค้นกระบี่นั้น หรือว่ามีความคิดอื่นซ่อนอยู่ หากปีศาจตนนี้หนีออกมาได้เกรงว่าคงมาคิดบัญชีกับนางเป็นคนแรก
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเพิ่งจะอายุครบเก้าขวบ จิตใจยังอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาอยู่มาก พอเห็นปีศาจโผล่ออกมาไม่ขาดสาย ก็ยิ่งรู้สึกร้อนรนกระวนกระวาย
สาเหตุที่ศิษย์พี่วางค่ายกลอู่จั้ง ก็เพราะว่ามีคนเจ็บห้าคนสลบไสลไม่ได้สติ ค่ายกลนี้ทั้งสามารถกักขังปีศาจเฒ่าไว้ได้ แล้วยังช่วงชิงจิตวิญญาณของคนเจ็บทั้งห้าคนกลับมาได้ด้วย
แต่ในเมื่อปีศาจต้นไม้สามารถเรียกวิญญาณร้ายหรือปีศาจตนอื่นมาได้ทั้งที่นางอยู่ใต้ตาข่ายทองคำผานหลัว ก็หมายความว่าปีศาจตนนี้จะกลายเป็นมารแล้ว
ค่ายกลอู่จั้งไม่อาจกำราบนางได้ ไม่ช้าก็เร็วคงทำลายค่ายกลแล้วหนีออกไปสำเร็จ
ตอนนี้ศิษย์พี่จะต้องเสียใจแน่ที่ไม่ตรวจดูสภาพคนเจ็บอย่างละเอียด คำตอบที่ว่า ‘หมดสติห้าคน’ เห็นได้ชัดว่ามีข้อผิดพลาด นับตั้งแต่ตอนศิษย์พี่ตัดสินใจวางค่ายกลอู่จั้ง ก็ถูกกำหนดแล้วว่าจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามคนโดนต้มจนเปื่อย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วคงไม่ต้องไปสืบสาวจากที่ใดว่าใครโกหก หากไม่เร่งคลี่คลายสถานการณ์โดยด่วน ผู้ใดก็อย่าคิดหนีรอดไปได้เลย
ภายในค่ายกลมีกลิ่นเหม็นเน่าลอยตลบอบอวล เสียงกรีดร้องโหยหวนของปีศาจร้ายดังอื้ออึงข้างหู ทั้งหมดนี้หาใช่ภาพลวงตา แต่เป็นปีศาจร้ายภายในรัศมีร้อยหลี่* หลั่งไหลมาที่นี่ แค่โดนสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้โจมตี ถึงไม่ตายก็ต้องถูกกัดเข้าเนื้อสักคำ
เด็กทั้งสองจิตใจกำลังวุ่นวายสับสน จู่ๆ ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างลอยมากลางอากาศ เดิมทีพวกปีศาจหมายจะกัดแขนอวบๆ ของเจวี๋ยเซิ่งอยู่แล้ว กลับโดนกำแพงล่องหนดีดกระเด็นไปไกลลิบอย่างไม่คาดคิด
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรีบร้อนลืมตาขึ้น ก็เห็นลิ่นเฉิงโย่วนำไม้สยบมารของตนเองปักลงไปตรงกลางระหว่างตำแหน่งคุนกับหลี
ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งโก้วกว้ากับฟู่กว้าจึงเชื่อมต่อกันเป็นเส้นเดียว กลายเป็น ‘บ่วงสลายปราณพิฆาต’
“ศิษย์พี่” เด็กทั้งสองรู้สึกได้ว่าจิตใจพลันหนักอึ้ง ไม้สยบมารเป็นของวิเศษคุ้มกาย ศิษย์พี่เสียสละให้พวกเขาแล้ว มิเท่ากับว่าไร้เกราะปกป้องตนเองหรอกหรือ
“ท้องฟ้าเหนือลานกว้างมีตาข่ายทองคำผานหลัว พวกปีศาจอยากจะหนีก็คงหนีออกไปไม่ได้ ‘บ่วงสลายปราณพิฆาต’ สามารถปกป้องได้สักหนึ่งก้านธูป ตราบใดที่พวกเจ้าไม่ทะเลาะกันเอง ปีศาจเฒ่าตนนั้นทั้งไม่กล้าเข้าใกล้และออกไปจากค่ายกลไม่ได้ หอเยวี่ยเติงเก็บกระบี่นิลเก้าสวรรค์ไว้ ข้าไปไม่นานก็กลับมา”
หอเยวี่ยเติงเก็บกระบี่นิลเก้าสวรรค์ไว้?
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อตะลึงงัน หลายปีมานี้พวกเขาก็อยู่ข้างกายท่านอาจารย์ตลอด ไม่เคยได้ยินชื่อกระบี่มาก่อน แต่ศิษย์พี่คำพูดคำจาเคร่งขรึมจริงจัง ไม่เหมือนปั้นแต่งเรื่องโกหกเลย
ปีศาจเฒ่ากำลังยุ่งอยู่กับการดูดปราณพิฆาตในค่ายกล กลับส่งเสียงแค่นหัวเราะอย่างไม่คาดคิด “ลิ่นเฉิงโย่ว เจ้าอยากจะหนีก็หนีไปสิ ไยต้องลำบากแต่งเรื่องโกหกมาหลอกศิษย์น้องตัวน้อยๆ ของเจ้าด้วย รีบร้อนหนีเช่นนี้ หรือว่าเจ้าก็รู้จักกลัวบ้างแล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วแหวกเปิดทางออกช่องหนึ่งแล้วกระโจนออกไปนอกค่ายกลท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวน “ช่างเถอะ ข้าสู้เจ้าไม่ได้ จะไปหาอะไรมาช่วยสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ”
ปีศาจเฒ่าถ่มน้ำลาย “ไม่ต้องมาเสแสร้ง! หอเยวี่ยเติงอยู่ติดกับหอจื่ออวิ๋น ถ้าจะไปเอากระบี่นิลเก้าสวรรค์บ้าบออะไรนั่นจริง ส่งบ่าวไพร่ข้างกายไปก็พอแล้ว จำเป็นต้องไปเองด้วยรึ”