ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 5-6
เขาพูดจามีเหตุผลหนักแน่น ดวงตาเรียวเล็กของปีศาจเฒ่าฉายประกายเรืองรองวูบหนึ่ง ในที่สุดนางก็เริ่มนั่งไม่ติดที่แล้ว
ค่ำคืนนี้เป็นวันที่นางจะสำเร็จเป็นมาร ขอเพียงถ่วงเวลาไปถึงยามจื่อได้เงื่อนไขทุกอย่างก็สุกงอมครบแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าเด็กบ้าลิ่นเฉิงโย่วจู่ๆ จะมาปรากฏตัว ทำลายแผนการใหญ่ของนางครั้งแล้วครั้งเล่า
นางใกล้เป็นมารเต็มทีแล้ว เลือดเนื้อบนร่างเรียกได้ว่าเป็นอาหารเลิศรสเลอค่า หากคิดเรียกฝูงปีศาจมาต่อกรลิ่นเฉิงโย่วจำเป็นต้องใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ ดังนั้นทั้งที่รู้แก่ใจดีว่าร่างเดิมจะต้องได้รับบาดเจ็บ ก็ยังตัดนิ้วออกข้างหนึ่งอย่างเด็ดเดี่ยว
นับตั้งแต่ตอนที่นางปักนิ้วที่ขาดลงในดิน ก็ดึงดูดปีศาจร้ายที่โหยหิวจนน้ำลายหกมาฝูงใหญ่
ปีศาจเฒ่าทางหนึ่งหลอกล่อให้เหล่าวิญญาณร้ายเหนี่ยวรั้งลิ่นเฉิงโย่วเอาไว้ อีกทางหนึ่งก็ใช้ประโยชน์จากลิ่นเฉิงโย่วควบคุมวิญญาณ ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนไม่อาจปลีกตัวนางก็จะนั่งเฉยๆ เก็บกำไรอย่างเฒ่าประมงดูดปราณพิฆาตของปีศาจร้ายพวกนั้นให้สาแก่ใจ
ยิ่งนางดูดปราณพิฆาตมากเท่าใด พลังก็เพิ่มพูนเร็วมากเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงยามจื่อ ปราณพิฆาตมากมายมหาศาลที่ปล้นชิงมาเหล่านี้ก็เพียงพอให้นางกลายเป็นมารได้ก่อนเวลาที่คาดหมายแล้ว
ตอนนี้ขาดปราณพิฆาตอีกไม่มาก จะออกจากค่ายกลไปในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานไม่ได้เด็ดขาด ทว่าลิ่นเฉิงโย่วเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ดูไม่เหมือนคนลัทธิเต๋าสักนิด สมมติว่าเขาโกหกก็แล้วไปเถอะ แต่หากเป็นเรื่องจริงขึ้นมา รอให้เขานำกระบี่นิลเก้าสวรรค์กลับมาที่นี่ เผลอๆ อาจจะกอบกู้สถานการณ์กลับมาได้
จะออกจากค่ายกลไปขัดขวางเขาดีหรือไม่ นางยังคงตัดสินใจไม่ได้ ภายใต้แสงจันทร์สกาวสีเงินยวง เด็กหนุ่มสวมชุดสีม่วงยืนอยู่บนกระเบื้องมุงหลังคาเคลือบสีเขียวอมน้ำเงิน แขนเสื้อคลุมปลิวไสวลู่ลมยามกระโจนออกไปนอกเขตเรือน
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อจับตาดูสีหน้าปีศาจเฒ่าเงียบๆ เนื่องจากคาดเดาท่าทีของนางไม่ถูก จึงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเพียงใด ปีศาจเฒ่าพลันแค่นหัวเราะออกมา “ข้าขอเตือน เจ้าอย่าเล่นลูกไม้สกปรกให้มากนัก ไม่ต้องคุยโวถึงกระบี่เส็งเคร็งเล่มหนึ่ง ต่อให้เชิญท่านอาจารย์ของเจ้ามาก็ทำอันใดข้าไม่ได้ พวกเรามาเดิมพันกันดีกว่า ‘บ่วงสลายปราณพิฆาต’ ที่เจ้าสร้างไว้นั่นสุดท้ายจะขวางข้าได้สักกี่น้ำ ก่อนเจ้ากลับมาข้าจะกินศิษย์น้องเจ้าสองคนลงท้องไปหมดได้หรือไม่”
หนังศีรษะเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อกระตุกตุ้บๆ นอกจากปีศาจตนนี้จะไม่ยอมตกหลุมพรางแล้ว ยังพลิกกลับมาใช้พวกตนไปบังคับข่มขู่ศิษย์พี่อีก
เสียงหัวเราะของลิ่นเฉิงโย่วดังลอยมาแต่ไกล “คนทางขวานั่นชื่อชี่จื้อ ปกติชอบอาบน้ำ ร่างกายสะอาดสะอ้านสักหน่อย หากเจ้าไม่รังเกียจ ลองกินเขาดูก่อนสิ”
ปีศาจเฒ่าตะลึงงัน
นักพรตน้อยทั้งสองคนยกมือปิดปากร้องไห้กระซิกๆ
ตอนนี้ทุกคนเร่งฝีเท้าวิ่งหนีมาถึงหน้าประตูเรือนแล้ว ตู้ฮูหยินอายุมากแล้วจึงวิ่งได้ช้าที่สุด เถิงอวี้อี้จึงอยู่รั้งท้ายไปด้วย พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ของลิ่นเฉิงโย่วเท้าก็พันกันจนซวนเซ
ลิ่นเฉิงโย่วกำลังวางอุบายลวงให้สับสนชัดๆ หากมีกระบี่นิลเก้าสวรรค์อยู่จริง มีหรือจะยื้อยุดกับปีศาจเฒ่าตนนั้นมานานถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ไม่ว่าลิ่นเฉิงโย่วจะเอ่ยวาจายั่วยุเช่นไรปีศาจเฒ่าก็ไม่ยอมออกจากค่ายกลเสียที
นางหันหน้ากลับไปมองลานกว้าง เหล่าปีศาจถูกตาข่ายสีทองข้างบนกักขังไว้ พวกมันพุ่งชนค่ายกลอย่างสะเปะสะปะราวกับแมลงวันไร้หัว ส่วนต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกลิ่นเฉิงโย่วเผาทิ้งไปก็มีเค้าลางว่าจะฟื้นคืนชีพ เพียงสายลมโชยแผ่วพัดผ่านระลอกหนึ่ง กิ่งก้านใบแห้งเกรียมก็กลับมามีสีสันสดใสสะดุดตา
ปีศาจเฒ่านั่งสงบนิ่งอยู่กลางทะเลดอกไม้หลากสีบานสะพรั่ง ร่างกายยังสูงใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อยด้วย
เถิงอวี้อี้รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง ไม่เคยเห็นเหตุการณ์แปลกพิลึกพิลั่นเช่นนี้มาก่อน หากยังไม่คิดแผนการรับมือให้ได้จะต้องเกิดหายนะครั้งใหญ่แน่นอน
นางนึกแผนการหนึ่งขึ้นมาได้จึงกระซิบบอกตู้ฮูหยินว่า “ท่านป้า รอสักครู่นะเจ้าคะ”
จากนั้นนางส่งเสียงตะโกนออกไปว่า “เฉิงอ๋องซื่อจื่อ ข้ามีของวิเศษคุ้มกายชิ้นหนึ่งชื่อกระบี่หยกมรกต ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในป่าไผ่ถูกปีศาจเฒ่าลอบจู่โจม ข้าใช้กระบี่เล่มนี้ตัดกรงเล็บขวาของปีศาจเฒ่า หากซื่อจื่อไม่รังเกียจ ลองนำไปใช้ดู”
นางจงใจกล่าวประโยคนี้ให้ปีศาจเฒ่าได้ยิน กระบี่เล่มนี้แปลกพิสดารยิ่ง ไม่แน่ว่าจะยอมให้ลิ่นเฉิงโย่วเรียกใช้ ส่วนลิ่นเฉิงโย่วก็หยิ่งผยองถือดี ใช่ว่าจะยอมใช้ของวิเศษจากผู้อื่น แต่ขอเพียงเอ่ยถึงกรงเล็บขวาที่ถูกตัดขาดไปจะต้องแทงใจดำปีศาจเฒ่าอย่างจังแน่
เถิงอวี้อี้เพิ่งกล่าวจบไป ก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นเยียบเปี่ยมแรงอาฆาตคู่หนึ่งจ้องมองมา นางคลี่ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวต่อ “ถึงปีศาจตนนี้จะกำเริบเสิบสาน แต่พอเจอกระบี่เล่มนี้เข้าไปก็หมดท่าแล้ว เนื้อหนังเละเทะเป็นโคลนตมเชียวล่ะ ตัดฉับเข้าทีหนึ่งก็ร่วงเป็นก้อน ตัดฉับอีกทีก็ร่วงเป็นก้อน…”
นางแย้มรอยยิ้มหวานหยด จงใจพูดเนิบนาบเชื่องช้ากว่าปกติหลายเท่า เพลิงโทสะในดวงตาปีศาจเฒ่าลุกโชนออกมาประหนึ่งพร้อมเผาเสื้อผ้าเถิงอวี้อี้ให้เป็นรูโหว่
เสียงกระทบกระเบื้องบนแนวกำแพงดังขึ้นท่ามกลางความมืดยามราตรี ลิ่นเฉิงโย่วมีไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศอย่างที่คิดไว้ เขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสนอกสนใจทันที
“มีของดีเช่นนี้ด้วยหรือนี่ หากคุณหนูสะดวกใจ ส่งมาให้ข้าดูสักหน่อยได้หรือไม่”
เถิงอวี้อี้ห่อฝักกระบี่ให้เรียบร้อยแล้วเขวี้ยงขึ้นไปบนคานหลังคา ลิ่นเฉิงโย่วเอามือช้อนรับไว้ได้ ที่แท้ก็เป็นกระบี่สั้นขนาดประมาณสามชุ่นสีเขียวสดเปล่งประกายแวววาวใต้แสงจันทร์ กระบี่คมกริบบางเฉียบดุจใบไม้ ยามสัมผัสลูบไล้รู้สึกเหมือนน้ำแข็งและเย็นเยียบดั่งเนื้อหยก
เขาเคยเห็นสมบัติล้ำค่าหายากมานับไม่ถ้วน แต่เพิ่งเคยเห็นกระบี่ทำจากหยกมรกตเป็นครั้งแรก รู้สึกประหลาดใจว่ามันเปราะบางถึงเพียงนี้ ไม่น่าเชื่อว่าข้ามผ่านกาลเวลามาหลายปีโดยไม่บุบสลาย
ทว่าเขายังไม่ทันเพ่งพินิจให้ละเอียด รัศมีตัวกระบี่ก็ไม่สว่างเจิดจ้าดังเดิมอีก คล้ายถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเทาจางๆ และหม่นหมองไร้ประกายไปทีละนิด
เขาใช้แขนเสื้อคลุมบังสายตาปีศาจเฒ่าเอาไว้อย่างแนบเนียน น่าเสียดายจริง นี่เป็นถึงของวิเศษชิ้นหนึ่งที่ภักดีต่อผู้เป็นนายเท่านั้น เมื่ออยู่ห่างจากผู้เป็นนายก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องประดับหยกมรกตทั่วไป นอกจากจะทำร้ายปีศาจเฒ่าไม่ได้แล้ว ยังจะทำให้ตัวกระบี่เสียหายโดยเปล่าประโยชน์ด้วย
เขามองเด็กสาวสวมหมวกม่านแพรยืนอยู่ในลานกว้าง เรือนร่างงามสะโอดสะองยืนสงบนิ่งกลางแสงสลัว ไม่เห็นวี่แววความตระหนกลนลาน เขาเคยพบหน้าเถิงเซ่าผู้เป็นแม่ทัพเลื่องชื่อพิทักษ์ชายแดนปกป้องบ้านเมืองมาหลายครั้ง กระบี่หยกมรกตเป็นของชั้นเลิศถึงเพียงนี้ คาดว่าเถิงเซ่าคงมอบให้บุตรสาวพกไว้ป้องกันตัว
แต่คุณหนูผู้นี้ท่าทางไม่เหมือนคนรู้วรยุทธ์ ต่อให้มอบกระบี่คืนให้ อาศัยฝีมือของนาง ก็เลิกคิดที่จะเข้าใกล้ปีศาจเฒ่าตนนั้นไปได้เลย
เขาเปลี่ยนความคิดในชั่วพริบตา ยิ้มแย้มพลางพยักหน้ารับ “เป็นกระบี่ดี กระบี่ดี หอเยวี่ยเติงอยู่ไกลเกินไป คุณหนูทำเช่นนี้เหมือนส่งถ่านกลางหิมะข้าเคยจับปีศาจมามากมาย แต่ไม่เคยกินเนื้อปีศาจมาก่อน รอประเดี๋ยว ข้าจะแล่เนื้อมันเป็นชิ้นบางๆ เอามากินเป็นกับแกล้มสุราได้พอดี”
ระหว่างสนทนาก็ถือโอกาสชี้นิ้วเรียกองครักษ์ตรงหน้าประตูมาสองสามคน “พวกเจ้าไปเรือนข้างหน้าเอาน้ำจิ้มเปรี้ยวมาสักหน่อย แล้วก็หิ้วสุราซงเหลาชุนมาสักหลายกาด้วย”
การวางมาดเช่นนี้เหมือนคนจะจับปีศาจที่ใดกัน กลับเหมือนกำลังจะนั่งดื่มสุรากินอาหารในสวนของวังอ๋องมากกว่า แม้องครักษ์จะรู้สึกไม่สบายใจเพียงใด ก็ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งนายน้อยของตน พวกเขาจ้องมองปีศาจเฒ่าอย่างหวาดระแวงพลางค่อยๆ ขยับถอยหลัง สุดท้ายก็เก็บอาวุธคู่กายแล้วรีบร้อนไปเตรียมการตามคำสั่ง
เถิงอวี้อี้เอ่ยขอร้องว่า “ตอนซื่อจื่อลงมืออย่าลืมเก็บกรงเล็บซ้ายของมันไว้ให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ”
ลิ่นเฉิงโย่วเชิดปลายคางขึ้นเล็กน้อย “เจ้าก็อยากเอามันไปแกล้มสุรารึ”
เถิงอวี้อี้ส่ายหน้าปฏิเสธ “ก่อนหน้านี้ข้าได้กรงเล็บขวามันมาแล้ว อยากจะรวบรวมให้ครบคู่ มันทั้งหนังหยาบเนื้อหนา คงเคี้ยวยากเย็นยิ่ง ข้าตั้งใจจะนำไปดองในไหสักระยะหนึ่ง รอให้เนื้อนุ่มหนังกรอบเสียก่อนค่อยเอามาจิ้มกินกับน้ำเชื่อมผิวส้ม”
พวกเขาสองคนขานรับกันเป็นลูกคู่ น้ำเสียงยามสนทนาเหมือนอยู่กันเพียงลำพัง ทำราวกับเห็นปีศาจเฒ่าเป็นกับแกล้มสุราจริงๆ
ตอนนี้ไม่ใช่แค่ปีศาจเฒ่าตนนั้นที่โกรธจัดจนควันออกหู แม้กระทั่งตู้ฮูหยินกับองครักษ์ที่รั้งอยู่คุ้มกันก็ต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.