ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 59
ในตอนนี้เองเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อก็ฟังเรื่องราวเข้าใจแล้ว พวกเขารีบบอกเถิงอวี้อี้ว่า “คุณหนูเถิง ท่านออกไปเที่ยวเล่นให้สนุกเถอะ พอดีวันนี้พวกเราก็ต้องไปสะกดรอยตามหลูจ้าวอัน ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ค่อยไปกินข้าวด้วยกันอีกก็ได้”
เถิงอวี้อี้จึงจำใจเอ่ยว่า “อย่างนั้นพรุ่งนี้ตอนเช้าข้าจะตรงไปรับพวกท่านที่อารามชิงอวิ๋นดีหรือไม่”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อตอบอย่างร่าเริง “ได้เลย”
เถิงอวี้อี้ส่งเทียบเชิญคืนให้ลุงเฉิงพลางเอ่ย “ตอบกลับว่าพวกเราจะไปตามนัดหมาย”
ลุงเฉิงเพิ่งจะออกไป สาวใช้ตรงทางเดินก็รายงานว่า “คุณชายตู้มาเจ้าค่ะ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของนาง ตู้เซ่าถังก็ย่างเท้าเข้ามาในห้องโถงบุปผา
อายุสิบเอ็ดปีเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ตู้เซ่าถังยังมีรูปร่างค่อนข้างผอมบาง เขาสวมเสื้อคลุมยาวคอกลมสีเขียวขจีดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ทอดสายตามองแต่ไกลดูคล้ายกิ่งหลิวบางๆ กระนั้น ยังดีที่สวมหมวกผ้าไว้ หาไม่แล้วคงมีผู้คนเข้าใจผิดว่าเป็นแม่นางน้อยผู้หนึ่งเป็นแน่
ตู้เซ่าถังมองเห็นเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้ออยู่ในห้องโถงบุปผา ก็เผยสีหน้าแปลกใจ “ท่านนักพรตน้อย?”
ตู้ถิงหลันถามอย่างสงสัย “เหตุใดถึงมาที่นี่แต่เช้าเลยเล่า วันนี้ไม่ต้องไปเรียนที่สำนักการศึกษาหรือ”
“ท่านอาจารย์พักวันหยุดขอรับ สองวันนี้ไม่ต้องเข้าห้องเรียน” ตู้เซ่าถังคารวะเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ พอนั่งลงก็เอ่ยว่า “พี่อวี้ เมื่อวานข้า…”
เขาอ้ำอึ้งพลางเหลือบมองเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ ลังเลว่าจะพูดออกมาดีหรือไม่
เถิงอวี้อี้รีบเอ่ยว่า “ท่านนักพรตน้อยทั้งสองไม่ใช่คนนอก มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาได้เลย”
ตู้เซ่าถังจึงยอมปริปาก “เมื่อวานข้าอยู่จวนว่างๆ จึงซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ไปเยี่ยมหูจี้เจินที่จวนสกุลหู ข้ายังพาพี่ฮั่วชิวไปด้วย แล้วก็ของสิ่งนี้ที่พี่อวี้ให้ข้าพกติดตัว…”
เขาหยิบพู่กันขนโกร๋นด้ามนั้นของอารามตงหมิงออกมาให้ทุกคนดู
“ทางจวนสกุลหูเห็นว่าข้ามาคนเดียว ครั้งนี้กลับอนุญาตให้ข้าเข้าเรือนชั้นในไปเยี่ยมหูจี้เจินแล้ว แต่ยังไม่ยอมให้ข้าเข้าไปยังห้องชั้นใน บอกเพียงว่าสภาพของหูจี้เจินน่ากลัวเกินไป เกรงว่าข้าจะตกใจเสียขวัญ ข้านั่งอยู่ที่ห้องชั้นนอกสักพัก ลอบคิดในใจว่าระยะนี้หูจี้เจินนอนซมอยู่บนเตียงคงตั้งตารอให้สหายร่วมเรียนที่สนิทสนมกันมาเยี่ยมเยียน หากรู้ว่าข้ามาแล้วไม่แน่อาจจะดีใจมากก็ได้ ข้าจึงพูดกับเขาจากนอกม่านว่า ‘จี้เจิน ข้าเซ่าถังนะ ข้ามาเยี่ยมเจ้าแล้ว เจ้าดีขึ้นบ้างหรือยัง’ จากนั้นข้าก็ได้ยิน…”
ตู้เซ่าถังน้ำเสียงสั่นไหวขึ้นเล็กน้อย “ข้าได้ยินเสียงประหลาดร้องตะโกนดังมาจากห้องชั้นใน ‘พวกเจ้าอย่าเข้ามานะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น’ เสียงนั้นแหลมสูงและแหบพร่า ข้าแทบฟังไม่ออกว่านั่นเป็นเสียงของหูจี้เจิน ผ่านไปครู่หนึ่งนายท่านหูกับหูฮูหยินก็ออกมา หูฮูหยินน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ส่วนนายท่านหูก็มีสีหน้าย่ำแย่อย่างมาก ออกมาบอกกับข้าว่า ‘บุตรชายข้าล้มป่วยเสียมารยาทไป หวังว่าคุณชายตู้จะอภัยให้ด้วย’ ข้ามีหรือจะกล้ารั้งอยู่ต่อ จึงรีบกล่าวคำอำลาแล้วขอตัวออกมาเลย”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อยิ่งฟังยิ่งตกใจ เมื่อวานตอนศิษย์พี่เล่าเรื่องของหูจี้เจินให้พวกเขาฟัง บอกเพียงว่าหูจี้เจินจะกลายเป็นสติปัญญาบกพร่องเพราะเสียหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิตไป ศิษย์พี่ไปเยี่ยมที่จวนสกุลหูต่อเนื่องหลายครั้งยังไม่เคยได้ยินอะไรจากปากหูจี้เจินสักคำ ไม่คิดว่าคุณชายตู้ไปคราวนี้หูจี้เจินจะมีท่าทีตอบสนองรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ
ทว่าพอลองคิดทบทวนดูก็เข้าใจ หูจี้เจินมิได้รู้จักมักคุ้นกับศิษย์พี่ ทว่าคุณชายตู้กลับเป็นสหายสนิทของหูจี้เจิน ได้ยินเสียงของสหายร่วมเรียนในวันวาน เศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของหูจี้เจินจะกระตุ้นความทรงจำเลือนรางบางอย่างให้ปรากฏขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“ ‘พวกเจ้าอย่าเข้ามานะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น’…” ชี่จื้อเอ่ยทวนซ้ำและครุ่นคิดเกี่ยวกับประโยคนี้ “คุณชายหูตะโกนออกมาเช่นนี้หรือขอรับ”
ตู้เซ่าถังพยักหน้าตอบด้วยความหวาดผวาไม่หาย
เถิงอวี้อี้รู้สึกประหลาดใจระคนสงสัย นางรู้แต่แรกแล้วว่าอาการป่วยของหูจี้เจินน่าแปลกพิกล ดูจากรูปการณ์นี้หูจี้เจินราวกับไปรู้เห็นอะไรเข้าถึงโดนคนลอบทำร้าย
แม้ว่าจะเป็นประโยคสั้นๆ ไม่กี่คำ บางทีอาจช่วยยืนยันได้ว่าก่อนคุณชายหูจะเกิดเรื่องเขารู้ล่วงหน้าว่าตนเองจะมีอันตราย เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ อารามรีบร้อนจึงทำได้เพียงพูดจาเช่นนี้เพื่อปกป้องตนเอง แต่เห็นได้ชัดว่าฝ่ายนั้นไม่ได้ใจอ่อน
“ศิษย์พี่ของพวกท่านตรวจสอบเรื่องนี้มาตลอดไม่ใช่หรือ” เถิงอวี้อี้หันไปมองเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ “ก่อนหูจี้เจินจะเกิดเรื่องเขาไปที่ใด พบเจอใครมาบ้าง ลองสืบดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อมีท่าทีลังเล เมื่อวานขณะที่ศิษย์พี่เล่าเรื่องโรคประหลาดของหูจี้เจินเคยเอ่ยขึ้นมาว่าคุณหนูเถิงตามสืบหลูจ้าวอันมาตลอด แต่ศิษย์พี่บอกให้พวกเขาสะกดรอยตามหลูจ้าวอันเท่านั้น ไม่เคยบอกให้พวกเขาปิดปากเงียบต่อหน้าคุณหนูเถิง
วันนี้คุณชายตู้ก็พบเบาะแสใหม่อีก เช่นนั้นยิ่งไม่ต้องปิดบังคุณหนูเถิงแล้ว
พวกเขาอธิบายร่องรอยการเดินทางในวันที่หูจี้เจินเกิดเรื่องให้นางฟัง
“วันนั้นคุณชายหูหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนานกว่าหนึ่งชั่วยามเต็ม บังเอิญว่าช่วงนั้นหลูจ้าวอันไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอิงกั๋วกง แต่ก็ไม่มีวิธีพิสูจน์ได้ว่าก่อนคุณชายหูเกิดเรื่องเคยไปหาหลูจ้าวอันหรือไม่”
เถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันหันมาสบตากัน หลูจ้าวอันจะระวังตัวดีเกินไปแล้ว ทั้งที่สืบสาวมาถึงตัวเขาเรียบร้อยกลับยังหาจุดอ่อนที่เป็นหลักฐานแน่นหนาไม่ได้
ตู้เซ่าถังเอ่ยแทรกขึ้นมา “ต่อให้หูจี้เจินไปรู้เห็นอะไรเข้า ก็ไม่ถึงขั้นต้องถูกทำร้ายปานนี้กระมัง หรือว่ายังมีความผิดร้ายแรงยิ่งกว่าการทำร้ายคนฆ่าคนด้วย”
“คิดว่าจะต้องเป็นจุดอ่อนสำคัญอย่างยิ่งยวดแน่” สีหน้าเถิงอวี้อี้ฉายแววใคร่ครวญ “เมื่อใดมีข่าวลือแพร่งพรายออกไป ตัวคนร้ายเองก็จะประสบเภทภัยถึงชีวิต แต่ลงมือฆ่าคนก็สะดุดตาผู้อื่นเกินไปอีก ไม่สู้ทำให้หูจี้เจินกลายเป็นสติปัญญาบกพร่อง มองผิวเผินอาการป่วยจะคล้ายกับอาการเสมหะอุดตันหัวใจ* ไม่อาจตรวจสอบอะไรได้ในเร็ววัน หากไม่ใช่เพราะเฉิงอ๋องซื่อจื่อลอบสะกดรอยตามหลูจ้าวอันมานาน รวมถึงคลางแคลงใจสาเหตุอาการป่วยของหูจี้เจิน เรื่องนี้คงไม่มีหนทางสืบสาวต่อแล้ว”
ตู้เซ่าถังนิ่งงันไปชั่วขณะ แล้วกล่าวด้วยความแค้นเคือง “ข้ายังไม่เข้าใจอยู่ดี หูจี้เจินไม่ใช่คนปากยื่นปากยาวสักหน่อย ถึงเขาจะมองเห็นอะไร ก็ใช่ว่าจะโพนทะนาไปทั่ว คนผู้นั้นไยต้องลงมือโหดเหี้ยมปานนี้”
“หากเขาไปเห็นหลูจ้าวอันฆ่าคนเล่า” จู่ๆ เถิงอวี้อี้ก็เอ่ยขึ้น “คุณชายหูก็จะเก็บเงียบไม่พูดออกไปอย่างนั้นใช่หรือไม่”