ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 60
ลิ่นเฉิงโย่วตะลึงงัน สาเหตุที่เขากล้ายืนยันว่าหูจี้เจินจะต้องถูกคนลอบทำร้ายแน่เป็นเพราะมีเพียงวิชามารเท่านั้นที่ทำให้คนอยู่ๆ ก็สูญเสียหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิตไปได้ ทว่าไปสอบถามญาติพี่น้องกับมิตรสหายของหูจี้เจินมาครบแล้ว พวกเขาต่างบอกว่าหูจี้เจินคล้ายคลึงกับหูติ้งเป่าบิดาของเขามาก นิสัยอบอุ่นและซื่อตรง ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร เมื่อสอบถามว่าระยะนี้หูจี้เจินมีสิ่งใดผิดปกติไปบ้างหรือไม่ บรรดาสหายของหูจี้เจินจึงเอ่ยถึงหลูจ้าวอันเหมือนกันโดยมิได้นัดหมาย
สหายหลายคนบอกว่าก่อนหน้านี้สักพักหนึ่งหูจี้เจินเคยเคารพนับถือหลูจ้าวอันสุดหัวจิตหัวใจ แต่ภายหลังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ยามเห็นหน้าหลูจ้าวอันอีกครั้งกลับถลึงตาจ้องมองอย่างขุ่นเคือง ดูท่าทางราวกับมีความแค้นต่อหลูจ้าวอันขึ้นมาในคืนเดียวกระนั้น
ประจวบเหมาะว่าเขาไล่สืบเรื่องของหลูจ้าวอันมาตลอดตั้งแต่เรื่องปีศาจต้นไม้ จึงสืบเสาะค้นหาไปตามเบาะแสนี้ แล้วบังเอิญว่าช่วงหนึ่งชั่วยามที่เกิดเรื่องกับหูจี้เจิน หลูจ้าวอันก็ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอิงกั๋วกงใกล้ๆ กัน มิหนำซ้ำหลังเกิดเรื่องควนหนูก็สั่งให้คนไปลอบสอบถามมาแล้ว ไม่ว่าบ่าวไพร่ในจวนอิงกั๋วกงหรือแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเลี้ยงวันนั้นล้วนไม่กล้ายืนยันว่าหลูจ้าวอันอยู่ในงานตลอดหรือไม่
หากวันนั้นคนที่ทำร้ายหูจี้เจินคือหลูจ้าวอัน แล้วอีกคนหนึ่งเป็นใครกันเล่า หลูจ้าวอันมาถึงเมืองฉางอันไม่นาน คาดว่าคงมีสหายสนิทไม่กี่คน แล้วคนเช่นเขาจะปรึกษาหารือ ‘เรื่องใหญ่โต’ กับใครได้…ที่สำคัญดูเหมือนเรื่องนี้จะเปิดเผยไม่ได้ด้วย เมื่อใดมีคนมาพบเห็น เขาก็จำเป็นต้องฆ่าปิดปากอย่างไม่ลังเล
ลิ่นเฉิงโย่วคิดใคร่ครวญหลายตลบ ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในใจ หรือว่าจะเอารายชื่อแขกที่ไปร่วมงานเลี้ยงจวนอิงกั๋วกงวันนั้นมาตรวจดูซ้ำอีกรอบดี
เขาตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว มองหน้าตู้เซ่าถังพร้อมเอ่ยว่า “ขอบคุณคุณชายถังมากที่ตั้งใจมาบอกเรื่องนี้กับข้า คงต้องเตือนสติคุณชายถังสักประโยคหนึ่ง หลูจ้าวอันผู้นี้ลึกล้ำเกินหยั่งถึง วันหน้าอย่าได้สืบเรื่องของเขาต่อหน้าผู้อื่นเลย หากนึกอะไรขึ้นมาได้หรือไปได้ยินอะไรมา เจ้าสั่งให้คนส่งข่าวมาหาข้าอย่างลับๆ ก็สิ้นเรื่องแล้ว”
ตู้เซ่าถังเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ เดิมเขาก็ลอบถอนหายใจเงียบๆ อยู่แล้ว ทว่าพอได้ยินประโยคนี้จึงซับเหงื่ออีกรอบและพยักหน้าตอบรับ
ลิ่นเฉิงโย่วหันไปมองเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ “พวกเจ้าสองคนอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำใช่หรือไม่”
เจวี๋ยเซิ่งตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ความจริงก็ยุ่งเล็กน้อยขอรับ เดิมทีจะไปกินอาหารที่หอซานไห่กับคุณหนูเถิง แต่นางได้รับเทียบเชิญกะทันหัน เปลี่ยนไปร่วมชมบุปผาที่อารามนักพรตหญิงอวี้เจินกับคุณหนูตู้แทนแล้ว พวกเราจึงออกมาจากจวนสกุลเถิง ตั้งใจว่าจะเอาขนมไปเก็บที่อารามก่อนค่อยมาหาศิษย์พี่”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ย “ช่างเถอะ อย่ามัวแต่คิดถึงขนมของพวกเจ้าเลย พาคุณชายถังกลับจวนไปก่อน แล้วค่อยไปหาควนหนู ข้ามีเรื่องจะฝากบอก วันนี้จะให้เขาพาพวกเจ้าไปด้วย ขนมก็วางไว้ที่วังเฉิงอ๋องก่อน ตอนกลางคืนค่อยส่งกลับอารามไปก็ได้”
พอลิ่นเฉิงโย่วกล่าวจบ ก็สั่งคนไปจูงม้ามา
เจวี๋ยเซิ่งเดินตามมาด้านหลังพลางเอ่ยถาม “ศิษย์ต้องไปสืบคดีใช่หรือไม่”
ชี่จื้อกลับไปที่รถม้าหยิบขนมมากล่องหนึ่ง แล้ววิ่งเข้ามาส่งให้ลิ่นเฉิงโย่ว “ศิษย์พี่ยังไม่ได้กินอาหารเช้าใช่หรือไม่ขอรับ เอากล่องนี้ไปเถอะ เวลาหิวจะได้มีอะไรรองท้อง”
“ข้ากินอาหารเช้าแล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วพลิกตัวขึ้นหลังม้า “จะว่าไปข้าไม่ชอบกินขนมพวกนี้สักเท่าไร”
เขาตอบก่อนจะขี่ม้าจากไปอย่างว่องไว ทว่าม้าวิ่งไปได้ไม่ไกลก็ย้อนกลับมาเยาะย่างอยู่หน้ารถม้า ก่อนจะดึงรั้งสายบังเหียนม้า แล้วกล่าวกับเจวี๋ยเซิ่งและชี่จื้อที่กำลังจะขึ้นรถว่า “เอามาสิ”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อสบตากันอย่างงุนงง “อะไรหรือขอรับ”
“ขนมอย่างไรเล่า สอบสวนนักโทษมาตลอดช่วงเช้า เริ่มจะหิวขึ้นมาอีกแล้ว”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้ออุทานเชิงรับรู้คำหนึ่ง ก่อนก้าวขึ้นรถม้าไปหอบขนมออกมาหลายกล่องอย่างเชื่อฟัง
ลิ่นเฉิงโย่วเหลือบมองจากบนหลังม้า “เปิดกล่องให้ข้าดูสักหน่อย”
“นี่คือขนมน้ำค้างหยก นี่คือขนมแป้งนุ่มโท่วฮวาฉือ นี่คือขนมระฆังทอง* นี่คือขนมเปี๊ยะอบเนย…แต่ละอย่างรสชาติอร่อยทั้งนั้น ศิษย์พี่ ท่านอยากกินกล่องไหนดีเล่า”
“แค่สี่อย่างเองหรือ” ลิ่นเฉิงโย่วกวาดสายตามองรถม้า “ไม่มีอย่างอื่นแล้ว?”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อนิ่งอึ้งไป “ไม่มีแล้วขอรับ สี่อย่างนี้เป็นขนมที่ข้ากับชี่จื้อชอบกินที่สุด คุณหนูเถิงจึงให้แม่ครัวเตรียมไว้ไม่กี่อย่าง”
ไม่มีขนมกลีบบุปผาจริงดังคาด…
ลิ่นเฉิงโย่วครุ่นคิด ทว่าไม่มีก็ช่างปะไร เขาเพียงอยากรู้ขึ้นมาเท่านั้น วันนั้นเถิงอวี้อี้บอกว่าขนมที่อร่อยที่สุดในเจียงหนานก็คือขนมกลีบบุปผาฝีมือนาง สุดท้ายแล้วเป็นคำคุยโวหรือว่ามีเค้าความจริงกันแน่
เกรงว่าจะเป็นคำคุยโวมากกว่ากระมัง
“เอาเถอะ” ลิ่นเฉิงโย่วว่า “ขนมสามสี่อย่างนี้รสชาติเลี่ยนเกินไป พวกเจ้าเก็บเอาไว้กินเองแล้วกัน นักพรตเจี้ยนเทียนกับนักพรตเจี้ยนเซียนยังรอศิษย์พี่อยู่ที่หอซิ่งฮวา ไปกินอาหารเช้าที่นั่นก็ไม่เลว ข้าไปก่อนแล้ว พวกเจ้าอย่าลืมว่าต้องรีบไปหาควนหนู”
เขากล่าวพร้อมกระตุกสายบังเหียนม้า ก่อนที่หนึ่งคนหนึ่งอาชาจะหายลับไปทางท้ายตรอกอย่างรวดเร็ว
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อยืนอยู่ที่เดิมอย่างเลื่อนลอยพร้อมกล่องไม้เคลือบเงาในอ้อมแขน รออยู่พักหนึ่งไม่เห็นศิษย์พี่ย้อนกลับมา ถึงตระหนักได้ว่าครั้งนี้ศิษย์พี่ควบม้าจากไปจริงๆ แล้ว
อารามนักพรตหญิงอวี้เจินตั้งอยู่ภายในฝู่ซิงฟาง ห่างจากวังฉุนอันจวิ้นอ๋องกับที่อยู่ใหม่ของอารามชิงอวิ๋นไม่ไกลนัก
กล่าวกันว่าอารามใกล้เคียงคืออารามชิงอวิ๋น หลังกำแพงฝั่งตะวันตกก็คือวังจวิ้นอ๋อง
เมื่อมาถึงหน้าประตูอารามนักพรตหญิงอวี้เจิน สองสาวพี่น้องแหวกผ้าม่านรถมองออกไปด้านนอก ก็เห็นว่าหน้าประตูมีรถคันงามม้าพ่วงพี ผ้าม่านหลากสีสดใสดั่งหมู่เมฆบนท้องฟ้า เห็นได้ชัดว่ามีสตรีสูงศักดิ์มาเยือนจำนวนไม่น้อย
เถิงอวี้อี้ยกมือขึ้นเคาะผนังรถม้า “ตวนฝู”
ตวนฝูที่อยู่นอกรถเอ่ยตอบเสียงทุ้มต่ำ “คุณหนูวางใจได้”
เถิงอวี้อี้ส่งเสียงรับรู้ในลำคอ อารามนักพรตหญิงอาจไม่ยอมให้บ่าวไพร่ติดตามเข้าไปด้านใน หากตวนฝูไม่อาจติดตามข้างกายนางอย่างเปิดเผย ก็ต้องคิดหาหนทางอื่น นางรู้ดีว่าถึงการป้องกันจะแน่นหนาสักเพียงใด ก็ไม่เกินความสามารถของตวนฝู จึงเตือนเขาเอาไว้ก่อน เพียงเพราะอยากให้เขากับองครักษ์ที่เหลือเตรียมพร้อมไว้แต่เนิ่นๆ
หน้าประตูมีนักพรตหญิงรออยู่ไม่กี่คน เมื่อมองเห็นองครักษ์ข้างกายเถิงอวี้อี้แล้วต่างก็แสดงสีหน้าลำบากใจจริงอย่างที่คิดไว้ แม้วาจานุ่มนวลอ้อมค้อมแต่มีเจตนาปฏิเสธชัดเจนยิ่ง
เถิงอวี้อี้เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไม่เป็นไร ข้าให้พวกเขารออยู่ข้างนอกได้”
นางว่าแล้วขยิบตาให้ตวนฝู สั่งเขาให้นำองครักษ์ถอยห่างออกไปอยู่ด้านข้าง นักพรตหญิงเห็นดังนั้นถึงนำสองพี่น้องเดินเข้าไปในอาราม