ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 61
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยอธิบาย “ข้าถามผู้ช่วยหลิ่วที่มาจากถงโจวแล้ว เขาบอกว่าที่นั่นมีภูตผีปีศาจโผล่มาเป็นประจำ ส่วนเพราะสาเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้ผู้ช่วยหลิ่วก็บอกต้นสายปลายเหตุไม่ถูก บอกได้เพียงว่าที่นี่เคยมีปีศาจอาละวาด ศาลเจ้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียงสร้างขึ้นเพื่อการนี้ ได้ยินว่าหลายปีก่อนยังสงบสุขไร้เรื่องราว ไม่กี่ปีมานี้พื้นที่ใกล้ๆ กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันหลายครั้ง บางคนร่วงหล่นจากหน้าผา บางคนตกหลังม้าตาย เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจึงตั้งชื่อว่า ‘จวีอัน’ เพื่อความเป็นสิริมงคล”
เจี้ยนเทียนลองไตร่ตรอง “เมื่อก่อนสงบสุขไร้เรื่องราว ไม่กี่ปีมานี้พื้นที่ใกล้ๆ กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันหลายครั้ง…คงไม่ใช่เพราะมีสิ่งชั่วร้ายอะไรโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินใช่หรือไม่”
เจี้ยนเซียนตื่นตระหนก “เรื่องนี้จะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ทั้งที่อยู่ในยุครุ่งเรืองร่มเย็นแท้ๆ เพราะเหตุใดถึงได้มีปีศาจโผล่มามากมายนัก”
ลิ่นเฉิงโย่วลูบไล้ถ้วยน้ำชาในมือ สายตากลับทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง วันนี้อากาศปลอดโปร่งแจ่มใส บนถนนรถม้าสัญจรอึกทึกคึกคัก แม้ในห้องส่วนตัวจะเงียบสงบ ทว่าเสียงจ้อกแจ้กจอแจจากชั้นล่างยังดังขึ้นมาไม่ขาดสาย
เขาครุ่นคิดชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย…คดีแรกในถงโจวเกิดขึ้นที่โรงเตี๊ยมจวีอัน พวกท่านไม่รู้สึกว่ามันบังเอิญเกินไปหรือ”
สองนักพรตถามอย่างประหลาดใจ “ซื่อจื่อหมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นอย่างนั้นหรือ แต่เช่นนี้ก็ไม่ถูกสิ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพวกเราอยู่ในที่เกิดเหตุกลับไม่รู้สึกถึงไอปีศาจหรือไอมาร ดูอย่างคู่สามีภรรยาที่ถงโจว เจ้าก็บอกแล้วว่าคนเป็นสามีถูกมีดฆ่าหมูเล่มหนึ่งแทงตาย ในเมื่อเป็นปีศาจฆ่าคน เหตุใดจะต้องทำให้ยุ่งยากปานนี้…”
จู่ๆ ลิ่นเฉิงโย่วก็เอ่ยขึ้นว่า “หากมีคนลอบช่วยเหลือปีศาจเล่า อย่าลืมสิ ปีศาจต้นไม้นั้นเป็นเพียงปีศาจน้อยที่มีพลังตบะเพียงร้อยปี นอกเสียจากจะมีโชคดีลอยมา ไม่อย่างนั้นไม่มีทางกลายเป็นมารอย่างรวดเร็วได้ มารผีดิบกับคุณชายเสื้อทองคำหลุดออกมาจากใต้ดินเดือนหนึ่งแล้วแท้ๆ หอไฉ่เฟิ่งกลับไม่เคยมีไอปีศาจแผ่กระจายไปทั่วเลย คืนนั้นข้าซักถามคุณชายเสื้อทองคำว่ามีใครช่วยพวกเขาออกจากค่ายกลหรือไม่ ท่าทางเขาดูลังเลราวกับมีบางอย่างจะพูดอย่างแน่นอน…ข้อสงสัยทั้งหมดที่ค้างคา จนถึงวันนี้ยังหาคำอธิบายไม่ได้เลย”
เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทีละนิด
“พอมาถึงคดีขโมยทารกในครรภ์สองสามคดีนี้ ข้อสงสัยก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก” ลิ่นเฉิงโย่วยกการินน้ำชาให้ตนเอง “อย่าเพิ่งไปพูดว่าเหตุใดถึงมีคนทุ่มเทกายใจจะสร้างทารกเดือนดับขึ้นมา เพียงเสียงทารกร้องไห้ที่แปลกพิลึกตอนเกิดเหตุพวกนั้นก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อไปกันใหญ่ เมื่อคืนข้าพลิกอ่านคัมภีร์ร้อยปีศาจกับบันทึกเรื่องลี้ลับจนครบแล้ว หาเจอบันทึกเกี่ยวกับ ‘เสียงร่ำไห้ของทารกในครรภ์อ่อน’ ชื่อของบันทึกม้วนนั้นก็คือ ‘ไน่จ้ง’ ”
เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนลุกพรวดขึ้นมา “ไน่จ้ง? เป็นไปไม่ได้ เจ้าตัวนี้เป็นเจ้าแห่งภูตผีทั้งปวงที่ปกครองยักษ์และปีศาจรากษส”
ลิ่นเฉิงโย่วเลิกคิ้วขึ้น “แต่พวกท่านอย่าลืมสิ ไน่จ้งชอบกินทารกในครรภ์อ่อนที่สุด…”
เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนเอ่ยแทรกลิ่นเฉิงโย่วทันควัน “หากไน่จ้งปรากฏตัวขึ้นจริงฉางอันไม่มีทางเงียบสงบอย่างตอนนี้แน่…ไม่ๆๆๆ เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ อีกอย่างทารกเดือนดับไม่เหมือนกับทารกในครรภ์อ่อนทั่วไปนะ”
“หากใช้เพียงทารกเดือนดับมาอธิบายคดีฆาตกรรมต่อเนื่องผ่าท้องชิงทารกไม่กี่คดีนี้ ก็มีส่วนที่ไม่กระจ่างชัดมากเกินไป ถึงแม้คนรุ่นก่อนไม่มีโอกาสเห็นขั้นตอนการถือกำเนิดของทารกเดือนดับกับตา เวลาประลองอาคมกับมันหลังจากนั้นกลับได้ยินเสียงร้องไห้อยู่เสมอ พอลองพลิกหาในบันทึกเรื่องลี้ลับจนทั่วแล้ว ก็ยังหาส่วนที่เกี่ยวกับทารกเดือนดับร้องไห้ได้ไม่เจอเลย แต่หากลองสลับมุมมองความคิด เสียงร้องไห้ของทารกที่แปลกพิกลนั่นก็จะมีคำอธิบายแล้ว”
เจี้ยนเทียนน้ำเสียงคล้ายสายพิณที่ขึงจนตึงเปรี๊ยะ “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”
“มีคนเอาทารกเดือนดับมาเป็นอาหารเซ่นไหวไน่จ้ง”
เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนอ้าปากค้าง
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยต่อ “ในคัมภีร์ร้อยปีศาจกล่าวไว้ว่าทารกในครรภ์อ่อนคว้ามาครองได้ง่าย ทารกเดือนดับกลับยากเย็นนัก ความแตกต่างอยู่ที่มารดาผู้ให้กำเนิด มารดาของทารกเดือนดับมักมีแรงอาฆาตสูงเทียมฟ้า เพราะก่อนตายมองเห็นทารกถูกแยกจากร่างตนกับตา เดิมทีกลางกะโหลกศีรษะทารกในครรภ์อ่อนยังไม่ปิดสนิท พบแรงอาฆาตส่วนนี้พุ่งผ่านก่อนตัดสายสะดือ ถึงจะมีสติรับรู้ทันทีตอนหลุดจากครรภ์มารดา และกลายเป็นวิญญาณอาฆาตในเวลาต่อมา”
เจี้ยนเซียนตบหน้าขาฉาดใหญ่ “หากบอกว่าทารกเดือนดับเป็นวิญญาณอาฆาต เขาก็มีเลือดมีเนื้อ จะบอกว่าเขาเป็นปีศาจ เขาก็มีพลังอินปกคลุมทั่วร่างอีก ซื่อจื่อ ทารกผีครึ่งอินครึ่งหยางเช่นนี้ไน่จ้งไม่มีทางชายตาแลหรอก แม้ไน่จ้งจะเป็นเจ้าแห่งภูตผีทั้งปวง กลับก่อกรรมทำชั่วอยู่แต่ในโลกมนุษย์ ไม่เคยกินผีร้ายวิญญาณอาฆาตเป็นอาหาร”
จู่ๆ ลิ่นเฉิงโย่วก็เอ่ยขึ้นว่า “หากถ่ายทอดพลังปราณหยางเฮือกสุดท้ายก่อนตายของมารดาเข้าสู่ร่างทารกเดือนดับเล่า ทุกอย่างก็จะแตกต่างออกไปแล้วใช่หรือไม่ ส่งมอบพลังหยางส่วนนี้ไม่เพียงทำให้ทารกในครรภ์อ่อนส่งเสียงร้องไห้ได้ ยังสามารถสะกดปราณพิฆาตพลังอินในร่างพวกเขาไว้ได้ชั่วคราว ไน่จ้งไม่รับรู้ถึงพลังอินในร่างทารกเดือนดับ ก็จะกินพวกเขาเข้าไปเสมือนเป็นทารกในครรภ์ปกติ แต่ทารกเดือนดับร่างหนึ่งมักจะเหนือกว่าทารกในครรภ์ปกติหนึ่งร้อยร่าง หลังไน่จ้งกินเข้าไปพลังจะเพิ่มพูนอย่างมหาศาล ข้ากำลังคิดว่าคนร้ายทำให้สตรีที่ตกเป็นเหยื่อครองสติเอาไว้ จะเป็นเพราะต้องการให้สตรีนางนั้นเก็บไอร้อนผ่าวเฮือกสุดท้ายไว้เพื่อจะได้มอบให้ทารกเดือนดับหรือไม่นั้น…”
เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนยังคงมีสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด แต่ก็รู้สึกได้รางๆ ว่าประโยคนี้สมเหตุสมผล เพราะต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้นถึงสามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดถึงมีคนทุ่มเทกายใจสร้างทารกเดือนดับ รวมถึงเพราะเหตุใดถึงมีเสียงร้องไห้ของทารกดังขึ้นในที่เกิดเหตุ
“แต่…แต่ว่า…” เจี้ยนเทียนเอ่ยด้วยเสียงแห้งผาก “บันทึกล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับไน่จ้งในบันทึกเรื่องลี้ลับก็ตั้งแต่ร้อยสองร้อยปีก่อนแล้ว อมนุษย์ระดับนี้อยู่ๆ ปรากฏตัวขึ้นจะต้องมีสาเหตุสักอย่างแน่! ว่ากันว่าเจ้าแห่งภูตผีตนนี้ยากจะหาผู้ใดเทียม ชอบปลอมตัวเป็นภิกษุมากลั่นแกล้งมนุษย์ปุถุชนที่สุด จะใช้เขาวงกตกักขังคนเอาไว้ก่อน แล้วซักถามปัญหากับเหยื่ออย่างสุภาพมีมารยาท หากตอบได้ถูกต้อง บางทีอาจหนีรอดจากเขาวงกตไปได้ แต่บนโลกนี้จะมีคนฉลาดเยี่ยงนั้นสักกี่คนกัน เมื่อใดมันโผล่มาขวางทางไว้จะถูกกัดกินตายคาที่ ยิ่งกว่านั้นเจ้าอมนุษย์ที่ฟ้าดินไม่อาจอภัยได้เช่นนี้ก่อนมันปรากฏตัวจะต้องเกิดนิมิตประหลาด ใน ‘คัมภีร์ร้อยปีศาจ’ เขียนเอาไว้ว่าทุกคราก่อนไน่จ้งปรากฏตัว บนท้องนภาจักมีสายฟ้าคำรามก้อง…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเขาท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใสนอกหน้าต่างก็มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบพาดผ่านกะทันหัน ตามด้วยเสียงคำรามดังกึกก้องเหนือศีรษะ
เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนราวกับถูกสายฟ้านี้ผ่าลงกลางกระหม่อมพร้อมกัน ต่างตะลึงงันไปชั่วขณะ
ลิ่นเฉิงโย่วหวาดหวั่นระคนสงสัยไม่คลาย จึงลุกขึ้นเดินไปยังริมหน้าต่างเพื่อสังเกตสายฟ้าประหลาด
เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนกระวนกระวายใจเกินระงับ รีบวิ่งไปที่ริมหน้าต่างเช่นกัน
สายฟ้าแลบนั้นคดเคี้ยวเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าพุ่งตรงไปทางกลางเมือง จากนั้นพลันสลายกลายเป็นกลุ่มควันเหม็นไหม้ ก่อนจะค่อยๆ ร่วงหล่นลงกลางย่านตลาดร้านค้า
สถานที่แห่งนั้นอยู่ไม่ไกลเท่าไร เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนชะเง้อคอยาวแยกแยะทิศทาง “นั่นมัน…อารามนักพรตหญิงอวี้เจินไม่ใช่หรือ”
ลิ่นเฉิงโย่วตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี เขาหมุนกายวิ่งลงไปชั้นล่างอย่างรีบร้อนทันใด
* เกราะไม้ คือเครื่องเคาะจังหวะทำด้วยไม้เนื้อแข็ง แกะสลักเป็นทรงกลม ภายในกลวง ใช้เคาะประกอบการสวดมนต์ ชาวแต้จิ๋วเรียกว่า ‘บั๊กฮื้อ’ แปลว่าปลาไม้ เพราะโดยมากจะแกะสลักเป็นรูปปลาซึ่งลืมตาอยู่ตลอดเวลา เป็นสัญลักษณ์ธรรมสื่อถึงผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
** ขลุ่ยตี๋ หรือตี๋จื่อ คือขลุ่ยผิวชนิดหนึ่งของจีน
* ต้นอิ๋นซิ่ง หมายถึงต้นแปะก๊วย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 ก.ย. 66 เวลา 12.00 น.