ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 62
หากบังเอิญเห็นหุ่นกระบอกเช่นนี้ในงานลอยโคมจะต้องจดจำได้อย่างแม่นยำแน่ เพราะหุ่นกระบอกไน่จ้งเท้าซ้ายเหยียบยักษ์กายสีเขียว เท้าขวาเหยียบยักษ์กายสีแดง พลังอำนาจยามชายตาแลภูตผีปีศาจทั้งปวงอย่างหยิ่งผยองเช่นนั้นทำให้คนอยากจะลืมก็ลืมไม่ลง
ทว่ายิ่งครุ่นคิดถึงรูปร่างหน้าตาของหุ่นกระบอก ความเคลือบแคลงในใจเถิงอวี้อี้ยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี ตอนแรกนางก็ไม่อาจเชื่อมโยงภิกษุผิวพรรณขาวสะอาด กิริยาสุภาพน่าเชื่อถือตรงหน้า เข้ากับเจ้าแห่งภูตผีตามตำนานของพุทธศาสนาได้เลย หากว่ามันเป็นไน่จ้งจริงการจะทำร้ายคนไยต้องวุ่นวายถึงเพียงนี้ด้วย เพียงอ้าปากก็กลืนพวกนางลงท้องไปได้หมดแล้ว
นางเบิกตากว้างพร้อมกอดความหวังเสี้ยวสุดท้ายเอาไว้ กวาดมองภิกษุตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าหลายรอบ พอเหลือบไปเห็นพื้นรองเท้าของภิกษุ ความหวังที่หลงเหลืออยู่นั้นก็อันตรธานหายไปทันที
จะเปิดโปงมันตอนนี้เลยดีหรือไม่ นางคิดอย่างหวั่นใจ ไม่ได้การ มันกลายร่างเป็นภิกษุท่าทางใจดีมีเมตตา นำพวกนางเดินวนเวียนในป่าจะต้องมีแผนการอะไรอยู่แน่
เถิงอวี้อี้นึกถึงกลอุบายที่มารผีดิบใช้กลั่นแกล้งคนขึ้นมาได้กะทันหัน
หรืออมนุษย์ตนนี้ก็มีนิสัยชอบทำอะไรแปลกๆ เช่นเดียวกับมารผีดิบ
ก่อนจะหาหนทางรับมือมันได้ หากผลีผลามเปิดโปงมัน รังแต่จะกระตุ้นความดุร้ายของมันหรือไม่
จู่ๆ นางก็นึกขึ้นได้อีกว่าเผิงฮวาเยวี่ยกับเผิงจิ่นซิ่วหายไป ไม่ใช่ว่าถูกภิกษุรูปนี้กินเข้าไปแล้วกระมัง พอมองดูสองมือกับริมฝีปากภิกษุยังสะอาดสะอ้าน ไม่คล้ายว่าเพิ่งจะกินคนมาแต่อย่างใด เช่นนั้นพี่น้องสกุลเผิงหายไปที่ใดกันเล่า
ทางเถิงอวี้อี้กำลังคิดฟุ้งซ่านไปไกล เหล่าคุณหนูก็ตั้งใจเดินตามภิกษุออกจากป่า เดินไปได้พักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ เจิ้งซวงอิ๋นมองสำรวจโดยรอบแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ขอถามฝ่าซือ* ทางออกอยู่ข้างหน้าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ภิกษุหยุดฝีเท้าหันกลับมามอง รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอบอุ่นเช่นเดิม “อาตมาก็สับสนไปบ้าง จำได้ว่าทางออกอยู่ทางทิศตะวันออกนี่เอง สีกา ทิศตะวันออกอยู่ทางใดหรือ”
คำถามข้อนี้ตอบได้ไม่ยากเลย ต่อให้ถูกกักขังอยู่กลางป่าท้อ ขอเพียงเขย่งปลายเท้ากวาดสายตามองไป ก็จะมองเห็นห้องโถงอวิ๋นฮุ่ยทางทิศใต้
เจิ้งซวงอิ๋นแยกทิศทางได้ชัดเจน จึงเตรียมจะเอ่ยปากตอบ เถิงอวี้อี้ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ชิงตัดหน้าเอ่ยถามขึ้นว่า “ข้าขอถามฉายาทางธรรมของท่านอาจารย์ได้หรือไม่…”
ภิกษุยิ้มกว้างพลางยกสองมือขึ้นประนม ก่อนขานนามพระพุทธองค์เสียงดังกังวาน “อมิตาภพุทธ! อาตมามีฉายาทางธรรมว่าฉังจี”
“ที่แท้คือฉังจีฝ่าซือ” เถิงอวี้อี้ฝืนยิ้มบางๆ “ข้ารู้ว่าทิศตะวันออกอยู่ทางใด เพียงช่วยฝ่าซือแยกแยะทิศทางได้ ฝ่าซือก็นำพวกเราออกจากป่าได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ภิกษุฉังจีหัวเราะชอบใจพลางว่า “สีกาต้องบอกมาก่อนว่าทิศตะวันออกอยู่ทางใด อาตมาถึงจะรู้ว่าต้องเดินไปอย่างไร”
เถิงอวี้อี้กลับคาดคั้นไม่ยอมลดละ “หากข้าบอกฝ่าซือว่าทางใดคือทิศตะวันออก ฝ่าซือก็ต้องพาพวกเราออกไปนะเจ้าคะ”
รอยยิ้มภิกษุฉังจีกดลึกลงกว่าเดิม ทว่ากลับไม่ยอมกล่าวอะไรต่อ
พวกต้วนชิงอิงร้อนใจอยากออกจากสถานที่ประหลาดอย่างนี้เต็มที จึงฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้กับภิกษุรูปนี้แต่แรก ไม่คาดคิดว่าเถิงอวี้อี้จะกระโดดออกมากลางทาง พูดจาชวนให้งงงันซ้ำไปซ้ำมา เมื่อเห็นว่าเริ่มทำให้ภิกษุตรงหน้าไม่พอใจขึ้นมา นางจึงถลึงตามองเถิงอวี้อี้แล้วเป็นฝ่ายเอ่ยปาก “ทิศตะวันออกอยู่…”
“เจ้าหุบปากไปเสีย” เถิงอวี้อี้ตะคอกเสียงต่ำ
ต้วนชิงอิงตกตะลึง นัยน์ตากรุ่นโกรธจ้องมองเถิงอวี้อี้ “เหตุใดเจ้าถึงได้…”
คาดไม่ถึงว่าเจิ้งซวงอิ๋นกับอู่ฉี่กลับประสานเสียงกันตะคอกใส่นาง “ชิงอิง อย่าพูดมาก!”
พวกนางสองคนเอะใจสงสัยมานานแล้ว ภิกษุรูปนี้ปรากฏตัวขึ้นกลางป่าอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป จนแล้วจนรอดพวกเจ้าอารามกลับหายไปไม่ยอมปรากฏตัว ระหว่างเถิงอวี้อี้สนทนาโต้ตอบกับภิกษุเมื่อครู่สายตาจดจ้องมองพื้นรองเท้าของภิกษุราวกับกำลังบอกใบ้อะไรบางอย่าง มองสำรวจอย่างละเอียดถึงพบว่าจีวรของภิกษุรูปนี้มีรอยเปียกชื้นหลายแห่ง รองเท้าฟางก็เปรอะเปื้อนดินโคลน มีเพียงรองเท้าที่ไม่มีฝุ่นแม้แต่น้อย
มีหรือคนที่เปียกเฉพาะเสื้อผ้าแต่พื้นรองเท้าแห้งสนิท พวกนางสองคนคิดถึงสายฟ้าประหลาดก่อนหน้านี้ คาดเดาได้เลือนรางว่าภิกษุรูปนี้ไม่ใช่คนดีแน่ จิตใจจึงว้าวุ่นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไหนเลยจะกล้าตอบกลับส่งเดช
ตู้ถิงหลันเกรงว่าต้วนชิงอิงจะปริปากขึ้นมาอีก จึงเร่งฝีเท้ามาหยุดตรงหน้าหลี่ไหวกู้ ก่อนใช้มือปิดปากต้วนชิงอิงที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยเสียงสั่น “ฝ่าซือกำลังถามทาง ใช่เวลาเจ้าพูดแทรกได้ที่ใดกัน”
ตู้ถิงหลันเป็นคนสุภาพและโอบอ้อมอารีมาตลอด ไม่เคยแสดงกิริยาหยาบคายปานนี้เลย เวลานี้ไม่ใช่แค่ต้วนชิงอิงที่ตะลึงงัน ในที่สุดคุณหนูคนอื่นก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแล้ว
เถิงอวี้อี้มองหน้าภิกษุฉังจี ก่อนจงใจพูดจาลากเสียงเนิบช้าเป็นพิเศษ “ฝ่าซือเพิ่งบอกว่า ‘ทางออกอยู่ทางทิศตะวันออกนี่เอง’ เพราะฉะนั้นเพียงบอกว่าทิศตะวันออกอยู่ทางใดพวกเราก็ออกไปได้แล้ว คำพูดนี้ถูกต้องใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ภิกษุฉังจีโบกพัดสานในมือเบาๆ พลางยิ้มแย้มเป็นมิตร “ตอนอาตมาเดินเข้ามาตรงทางเข้าผ่านต้นท้อตั้งเรียงรายหลายแถวรอบนอก จำได้ว่าเดินมาถึงต้นที่เจ็ดพอดี เข้ามาก็มองเห็นพวกสีกาแล้ว หากจำไม่ผิดขอเพียงตามหาต้นที่เจ็ดทางทิศตะวันออกเจอก็จะออกไปได้”
เถิงอวี้อี้เผยรอยยิ้มกว้าง “ในเมื่อฝ่าซือยืนยันแล้ว อย่างนั้นข้าก็ขอลองคาดเดาดูสักหน่อย”
นางยกมือขึ้นชี้ไปด้านหลังของภิกษุฉังจี “นั่น ทางนั้นคือทิศตะวันออก”
พัดสานของภิกษุฉังจีที่สะบัดไหวพลันหยุดชะงัก
คุณหนูทั้งหลายต่างงุนงง ทางนั้นคือทิศใต้ชัดๆ