เจิ้งซวงอิ๋นกับตู้ถิงหลันกลับหน้าเปลี่ยนสี โดยเฉพาะเจิ้งซวงอิ๋น นางตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบท่วมตัวขึ้นมาในพริบตา เล่าลือว่าอารามนักพรตหญิงอวี้เจินถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับสายฟ้าฟาดและภัยพิบัติ จะมีการตอบสนองต่อสายฟ้าฉับไวกว่าที่อื่นเสมอมา เมื่อมองสำรวจรอบกายใหม่อีกครั้ง แผนผังภายในป่าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยจริงๆ จะต้องเป็นเพราะสายฟ้าที่อยู่ๆ ก็ฟาดลงมาไปกระตุ้นกลไกในห้องลับของอารามเป็นแน่
พอย้อนคิดถึงสถานการณ์ก่อนหน้านี้เจิ้งซวงอิ๋นก็ใจเต้นแรงตึกตักไม่หยุด หากพลาดพลั้งตอบคำถามของภิกษุชั่วร้ายรูปนี้ไปคงยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางรู้สึกซาบซึ้งใจเถิงอวี้อี้ยิ่งนัก จึงลอบปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน
ในห้วงความคิดเถิงอวี้อี้เต็มไปด้วยคำว่า ‘หนีตาย’ นางคล้องแขนตู้ถิงหลันไว้แล้วมุ่งหน้าออกไปนอกป่า “ขอบคุณฝ่าซือมากเจ้าค่ะที่ชี้แนะ ต้นท้อต้นที่เจ็ดใช่หรือไม่ ดูท่าอีกไม่ไกลก็ถึงทางออกแล้ว รีบไปกันเถอะ”
พวกอู่ฉี่มีหรือจะกล้ามองภิกษุหน้ายิ้มรูปนี้ต่อ พวกนางเร่งเดินตามหลังเถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันไป
ไม่นานก็ตามหาทางออกทางทิศตะวันออกพบ ถึงกระนั้นพวกเถิงอวี้อี้กลับต้องตกตะลึง เพราะรอบนอกทางทิศตะวันออกปลูกต้นท้อไว้ทั้งหมดแปดแถว พอลองนับดูทีละแถว ก็ประจวบเหมาะว่ามีสองแถวที่ปลูกต้นท้อถึงเจ็ดต้น
ภิกษุฉังจีโบกพัดสานเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “อาตมาเดินทางมาอย่างลำบากตรากตรำ ตอนนี้เริ่มอ่อนเพลียตาพร่าเลือน ลืมไปชั่วขณะว่าเป็นแถวที่เท่าไร ไม่อย่างนั้นพวกสีกาเชิญเลือกเองเถอะ อาตมาจะเดินวนรอบต้นไม้พวกนี้สามรอบ หากยังเลือกไม่ได้คงต้องพาสีกาทั้งหลายไปพักผ่อนเสียแล้ว”
ทางซ้ายมือกับทางขวามือของเขาล้วนมีต้นท้อเรียงเป็นแถว ซึ่งปลูกต้นท้อต้นเจ็ดต้นพอดีเสียด้วย หลังกล่าววาจาเชิงข่มขู่กลายๆ จบเขาก็เริ่มเดินวนรอบต้นไม้ ท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์ประหนึ่งเดินเล่นอยู่ในสวนบ้านตนเอง
เถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันหลั่งเหงื่อเย็นๆ เต็มหน้าผาก ดูจากรูปการณ์หากภายในสามรอบยังเลือกไม่ได้พวกนางคงเคราะห์ร้ายกันหมดแน่ แต่หากรีบร้อนจนเลือกผิด สิ่งที่รอพวกนางอยู่ก็ยังเป็นคำว่า ‘ตาย’ เช่นกัน
เจิ้งซวงอิ๋นกับอู่ฉี่ก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ร้ายแรงเพียงใด จึงเร่งระดมความคิดหาแผนการรับมือสุดกำลัง ส่วนคุณหนูที่เหลือแม้จะไม่กล้าพูดอะไรออกมา ก็ยังเบิกตากว้างเปรียบเทียบต้นท้อทั้งสองแถวอย่างละเอียดรอบคอบ
“ชี…เจ็ด…” เถิงอวี้อี้ท่องในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงญาติผู้พี่จะหัวเราะว่านางมองอย่างตื้นเขินเกินไป แต่นางจะมองเช่นไร อาณาเขตของป่าท้อผืนนี้ก็เสมือนเป็นต้ากั้วกว้าที่ถูกต้องสมบูรณ์ แต่ชื่อเรียกเส้นเหยาของต้ากั้วกว้ามี ‘ชูลิ่ว’ ‘จิ่วซาน’ ‘จิ่วซื่อ’ เป็นต้น ยกเว้นคำเดียวที่ไม่มีคือ ‘ชี’
นางลดเสียงลงถามตู้ถิงหลัน “ชื่อเรียกเส้นเหยาในลักษณะกว้าใดแฝงความหมายถึง ‘เจ็ด’ บ้าง”
ตู้ถิงหลันยุ่งอยู่กับการคิดทบทวนบทสนทนาระหว่างพวกนางพี่น้อง ได้ยินดังนั้นก็นิ่งงันไปประเดี๋ยวหนึ่ง “จำได้ว่าไม่มีชื่อเรียกเส้นเหยาในลักษณะกว้าใดแฝงความหมายถึงจำนวน ‘เจ็ด’ เลยนะ”
เจิ้งซวงอิ๋นกลับเอ่ยขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย “ในฟู่กว้ามีประโยคหนึ่งกล่าวว่า ‘ย้อนซ้ำเส้นทางเดิม เจ็ดวันหวนคืนมา’ สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนหมุนเวียนเป็นเลข ‘เจ็ด’ ”
ขณะที่เด็กสาวหลายคนพูดคุยปรึกษากันเบาๆ ภิกษุฉังจีก็เดินวนรอบต้นท้อไปหนึ่งรอบครึ่งแล้ว เถิงอวี้อี้กลั้นลมหายใจครุ่นคิด ไม่ถูกสิ จะเป็นลักษณะกว้าที่แม่นยำเพียงใดก็ไม่มีทางแทรกจุดพลิกผันใหญ่โตระหว่างต้นไม้สองแถวที่อยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ได้หรอก
นางหันหน้ากลับไปมอง ต้นอิ๋นซิ่งสูงเสียดฟ้าสองต้นขยับออกจากตำแหน่งที่เรียกว่า ‘ฝั่งตะวันตก’ นานแล้ว ทว่าถึงตำแหน่งและทิศทางจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร มุมทแยงที่เกิดจากของป่าท้อและต้นอิ๋นซิ่งสองต้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง
ด้วยเหตุนี้นางจึงลองถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนหันไปหาต้นท้อแปดแถวทางทิศตะวันออกเหล่านี้ แล้วเริ่มนับใหม่ทีละแถว
อืม ทางขวามือแถวแรกปลูกต้นท้อเก้าต้น แถวที่สองปลูกหกต้น…แต่มาถึงแถวที่แปดกลับปลูกต้นท้อไว้เพียงสี่ต้น
เถิงอวี้อี้นับไปนับมา ในใจพลันเกิดประกายสว่างวาบ
ขณะนี้ภิกษุฉังจีเริ่มเดินวนรอบต้นไม้เป็นรอบที่สามแล้ว เหลืออีกเพียงครึ่งรอบสุดท้ายเท่านั้น
เถิงอวี้อี้ลดเสียงลงกระซิบกับทุกคนว่า “ตามข้ามา”
นางกล่าวพลางคว้ามือตู้ถิงหลันวิ่งตรงไปทางขวามือของภิกษุฉังจี วิ่งไปก็ตะโกนบอกไปว่า “ทำให้ฝ่าซือต้องขบขันแล้ว เมื่อครู่พวกเรามีตาไร้แวว ต้นที่เจ็ดก็อยู่ตรงนี้ไม่ใช่หรือ”
ภิกษุฉังจีหยุดเท้าลง
เถิงอวี้อี้ก้มหน้าก้มตาวิ่งไป ชำเลืองมองทางหางตาพลางนับเลขในใจไปด้วย พอนับถึงต้นท้อต้นที่เจ็ดภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
เวลาชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นพวกนางก็วิ่งกลับมาถึงหน้าประตูห้องโถงอวิ๋นฮุ่ยอย่างไม่น่าเชื่อ
คุณหนูทั้งหลายหายใจเหนื่อยหอบ เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นเงาคนอยู่หน้าประตู กลับได้ยินเสียงพูดคุยของเหล่านักพรตหญิงดังแว่วมาจากในห้องโถง
“เข้าไปหาข้างในตามเส้นทางกลไกแล้ว สุดท้ายก็ไม่เห็นเงาเด็กสาวพวกนั้นสักคน คงมีสิ่งชั่วร้ายแผลงฤทธิ์แน่…”
“ดูท่าคงต้องรบกวนจวิ้นอ๋องแล้ว ข้างกายเขามียอดฝีมือมากมาย จะต้องเข้าใจได้แน่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เร็วเข้า รีบส่งข่าวไปยังวังจวิ้นอ๋องข้างอาราม” นี่คือเสียงที่ฉายแวววิตกกังวลของเจ้าอาราม