เด็กสาวเหล่านี้เพิ่งเอาชีวิตรอดจากหายนะร้ายแรงมาได้ ขอบตาจึงร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พอขยับขาได้ก็ชักเท้าวิ่งไปทางห้องโถงอวิ๋นฮุ่ย แต่วิ่งไปได้ไม่ไกลนักกลับมองเห็นภิกษุอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงหยุดฝีเท้าด้วยความตื่นตระหนก
เถิงอวี้อี้หอบหายใจแรง สายตาจดจ้องมองภิกษุฉังจี รู้แก่ใจดีว่ามันไม่มีทางเลิกราง่ายๆ เพียงแต่อย่างน้อยพวกนางวิ่งออกมาได้แล้ว ไม่ต้องเรียกฟ้าไม่ตอบเรียกดินไม่ขาน* คล้ายติดอยู่ในเขาวงกตอีกต่อไป
นางรีบตะโกนเรียก “เจ้าอาราม!”
เด็กสาวที่คนอื่นๆ ก็ทยอยร้องเรียกขอความช่วยเหลือ “เจ้าอาราม พวกเราอยู่ตรงนี้!”
เสียงพูดคุยในห้องโถงอวิ๋นฮุ่ยเงียบหายกลางคัน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าสับสนวุ่นวาย
ภิกษุฉังจีโบกพัดสานไปมาเบาๆ “พระพุทธองค์ทรงเมตตา อาตมากระหายน้ำคอแห้งผาก อุตส่าห์หวังดีนำทางออกจากป่าให้ สีกาทั้งหลายไม่ช่วยอาตมาขอน้ำมาดื่มสักถ้วยก็จะไปแล้ว นี่จะไม่ไร้เหตุผลเกินไปสักหน่อยหรือ เรื่องใดก็ตามต้องอาศัยวาสนา เมื่อครู่ตอนอยู่ในป่าอาตมาได้ยินเสียงกระดิ่งสั่นระรัว ฟังแล้วรู้สึกชอบใจเสียจริง ไม่รู้ว่าเป็นของติดตัวสีกาคนใด ไม่อย่างนั้นก็ให้สีกาผู้นี้ขอน้ำให้อาตมาดื่มแล้วกัน”
เถิงอวี้อี้ยกยิ้มเยาะหยัน เล่ห์เหลี่ยมช่างแพรวพราวนักเชียว
ตู้ถิงหลันกับเจิ้งซวงอิ๋นตะคอกเสียงเฉียบขาด “อย่าไปตอบมันนะ!”
ทุกคนตระหนักดีว่าจะตอบคำถามข้อนี้ไม่ได้เด็ดขาด ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่าเป็นของเถิงอวี้อี้แต่ไม่มีใครส่งเสียงตอบสักคำ
ด้านหลี่ไหวกู้กลับดูเหมือนตกใจขวัญเสียไปแล้ว นางเม้มริมฝีปากแน่นสนิท ทว่าสายตากลับเหลือบมองไปทางเถิงอวี้อี้อย่างลนลานแวบหนึ่ง
เถิงอวี้อี้ยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แผ่นหลังก็ถูกจู่โจมด้วยพละกำลังมหาศาล กระชากร่างนางกลับเข้าไปในป่าทันที
ตอนลิ่นเฉิงโย่วลงจากหลังม้าหน้าประตูอารามนักพรตหญิงอวี้เจินภายในอารามก็โกลาหลวุ่นวายไปหมดแล้ว เหล่านักพรตหญิงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากวังจวิ้นอ๋องที่อยู่ข้างเคียง ส่วนหน้าวิหารใหญ่มีคุณหนูทั้งหลายกอดคอกันร้องไห้
พอเจ้าอารามมองเห็นลิ่นเฉิงโย่วก็ราวกับพบเจอผู้ช่วยชีวิต เร่งฝีเท้าวิ่งปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนคว้าแขนเสื้อลิ่นเฉิงโย่วเอาไว้ “ซื่อจื่อรีบช่วยคนเร็วเข้าเถิด เจ้าอมนุษย์นั่นร้ายกาจยิ่งนัก ข้าไม่บังอาจพูดเหลวไหล แต่มองดูแล้วเหมือนฝีมือของไน่จ้ง”
ตู้ถิงหลันผมเผ้าหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา นางแหวกทางวิ่งผ่านทุกคนมาถึงตรงหน้าลิ่นเฉิงโย่ว พอเอ่ยปากก็เปล่งเสียงแหบพร่าไม่ต่างจากซอหูฉินเก่าคร่ำคร่าคันหนึ่ง “น้องสาวถูกภิกษุรูปนั้นจับไปแล้ว กลัวว่าคงจะเป็นลางร้ายมากกว่าดี ขอร้องซื่อจื่อรีบหาวิธีด้วย…”
นางจิตใจปั่นป่วนขนานใหญ่ ใบหน้าซีดขาวดุจกระดาษ พูดไปพูดมาก็คุกเข่าลงเสียงดังโครม
เจิ้งซวงอิ๋นกับหลี่ไหวกู้หยาดน้ำตาเอ่อคลอ เข้ามาพยุงตู้ถิงหลันซ้ายขวาคนละข้าง
เจิ้งซวงอิ๋นเอ่ยเสียงสะอื้น “โชคดีที่คุณหนูเถิงไขปริศนาของภิกษุรูปนั้นได้ ไม่อย่างนั้นทุกคนไม่มีทางหนีรอดออกมาแน่”
หลี่ไหวกู้สีหน้ากระวนกระวาย เตรียมจะเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ให้ลิ่นเฉิงโย่วฟัง ไม่คาดคิดว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นถึงสังเกตเห็นว่าสีหน้าเขาย่ำแย่สุดขีด ที่สำคัญไม่รอให้พวกนางเอ่ยปากเล่า จากหน้าห้องโถงใหญ่ก็เดินถอยหลังสองก้าว แล้วแหงนหน้าขึ้นกวาดสายตามองพร้อมผิวปากส่งสัญญาณครั้งหนึ่ง
จากนั้นได้ยินเสียงสัตว์คำรามดังโฮกสองครั้งดังขึ้นนอกอาราม ทุกคนจึงตกตะลึงไปทันใด
ลิ่นเฉิงโย่วฟังเสียงหินขานรับกระดิ่งในอกเสื้อที่ดังลั่นไม่หยุด จิตใจนั้นร้อนรุ่มดั่งไฟสุมมานานแล้ว ไม่รอให้คนกับสัตว์ป่าที่อยู่ข้างหลังมาถึง ก็สะบัดชายเสื้อคลุมกระโจนขึ้นไปบนหลังคา
เจ้าอารามชูสมุดเล่มเล็กในมือขึ้นมาพลางเงยหน้ามองเงาร่างสีเทาดำสายนั้นที่โฉบผ่านไป “ซื่อจื่อน้อย กลไกในอารามเปิดออกแล้ว เอาแผนผังค่ายกลนี้ไปเถอะ ไม่อย่างนั้นจะแยกแยะทิศทางไม่ได้”
“ไม่จำเป็น” น้ำเสียงร้อนรนของลิ่นเฉิงโย่วลอยมาแต่ไกล ดูท่าคงโผนทะยานไปถึงสวนดอกไม้แล้ว
หน้าประตูอารามมีคนเดินเข้ามาเพิ่ม ครั้งนี้กลับเป็นนักพรตเฒ่าสองคนเจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียน เดินเข้ามาก็หันหน้ามองไปทั่วอย่างเคร่งเครียด “ซื่อจื่อเล่า”
เจ้าอารามชี้ไปข้างบน “ขึ้นไปนั่นแล้ว”
เงาร่างสองสายโฉบวูบผ่านไป นักพรตเฒ่าทั้งสองก็กระโดดขึ้นหลังคาไปด้วย ทว่าไม่นานนักก็ได้ยินเสียงพวกเขาร้องโวยวายจากข้างบนนั้นว่า “บ้าจริงเชียว ไยที่นี่หน้าตาอย่างกับเขาวงกตเลยเล่า หมุนไปหมุนมาทำเอาคนเวียนหัวไปหมด ยายเฒ่าจิ้งเฉิน เจ้าเปิดเขาวงกตของรักของหวงในอารามพวกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ รีบบอกข้ามาเร็วว่าต้องเดินอย่างไร!”