ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 63
เถิงอวี้อี้รีบรับโซ่เส้นนั้นเอาไว้ในมือ แต่ก่อนเห็นเวลาลิ่นเฉิงโย่วใช้งานโซ่สีเงินจะส่งเสียงดังเคร้งๆ เดิมทีนึกว่าจะเป็นของที่ทำจากเหล็กเย็นเยียบแข็งกระด้าง ไม่คาดคิดว่าพอฝ่ามือแตะโดนกลับกลายเป็นสิ่งที่มีเนื้อหนังอ่อนนุ่มแผ่ไอร้อนผ่าว
สัมผัสนี้ทำให้เถิงอวี้อี้คิดถึงงูขึ้นมา ไม่สิ หนอนผีเสื้อตัวใหญ่ยักษ์ นางรู้สึกพรั่นพรึงอยู่ในใจ จะจับก็ไม่ไหว จะปล่อยไปก็ไม่ดี คิดดูใหม่อีกทีในเมื่อเป็น ‘สัตว์ไร้ขา’ ก็คงจะเป็นหนอนที่มีเนื้อหนังตัวหนึ่งอยู่แล้ว ต้องโทษที่นางกลัวงูมาตั้งแต่เด็ก จนเกือบจะล่วงเกินของดีอย่างนี้ไปแล้ว
“เจ้าคงไม่ได้นึกว่าหนอนล่ามวิญญาณเป็นสัตว์ที่ตายแล้วกระมัง” ลิ่นเฉิงโย่วชำเลืองมองนางและชิงเดินนำหน้าไปก่อน “มันยังมีชีวิตอยู่ ยามควบคุมสิ่งชั่วร้ายมันจะกลายร่างเป็นอาวุธแหลมคม หากเป็นเวลาปกติก็คือหนอนอวบอ้วนตัวหนึ่งนี่เอง เจ้าตัวใหญ่ด้านนอกเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว หากใช้เชือกธรรมดานำทางเจ้ากับข้าอาจถูกกลไกแยกออกจากกันทุกเมื่อ ใช้เจ้านี่จะไม่ต้องกลัวแล้ว มันสามารถปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ด้วย ประเดี๋ยวเจ้าถือเอาไว้ให้ดี ตามหลังข้ามาอย่าให้ห่างแม้แต่ก้าวเดียว”
เถิงอวี้อี้ฟังเข้าใจกระจ่าง นางรีบตอบว่า “ได้เลย” จากนั้นก็จับหนอนล่ามวิญญาณไว้อย่างแน่นหนาตามคำบอก คิดไปคิดมายังไม่วางใจ หากนางมือลื่น ไม่แน่ว่าหนอนตัวนี้อาจหลุดจากมือนางไปก็ได้ ดังนั้นนางจึงกระซิบบอกหนอนล่ามวิญญาณเบาๆ ว่า “ล่วงเกินแล้ว”
เถิงอวี้อี้ก้าวเดินพลางพันร่างมันรอบแขนตนเองหลายทบ หากมิใช่เพราะหนอนล่ามวิญญาณจู่ๆ ก็ส่งเสียงร้องประหลาดดังขึ้นมา นางแทบอยากจะผูกหางหนอนตัวนี้เป็นเงื่อนตายด้วยซ้ำ
ลิ่นเฉิงโย่วจูงเถิงอวี้อี้เดินไปข้างหน้าได้ระยะหนึ่ง พอได้ยินเสียงร้องของหนอนล่ามวิญญาณก็จำต้องหยุดฝีเท้าลงพลางถามอย่างสงสัย “เถิงอวี้อี้ เหตุใดเจ้าข่มเหงรังแกได้แม้กระทั่งหนอน”
เถิงอวี้อี้เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาเขา “ข้ามีหรือจะกล้ารังแกสมบัติล้ำค่าของซื่อจื่อ ข้าเพียงอยากพันมันรอบแขนตนเอง ไม่รู้เลยว่าลำตัวมันจะลื่นมือเช่นนี้ เจ้าไน่จ้งนั่นพลังมหาศาลไร้ขอบเขต ไม่พันเอาไว้ให้แน่นๆ แค่ปะทะกันเล็กน้อย ข้าก็คงถูกเหวี่ยงออกไปแล้ว”
ช่างรักถนอมชีวิตโดยแท้ หนอนล่ามวิญญาณจะพันร่างคนด้วยตนเอง ไหนเลยจะดิ้นหลุดไปได้ง่ายๆ อย่างนั้น
แต่เพื่อให้นางสบายใจแล้ว สุดท้ายเขาก็บอกออกไปว่า “อย่างนั้นก็พันรอบเอวเอาไว้ก่อนเถอะ”
เถิงอวี้อี้นิ่งอึ้งไป แต่ทำเช่นนี้ปลอดภัยกว่าพันแขนจริงๆ หลังจับมันขดพันเรียบร้อยแล้วนางก็ได้ยินเสียงลิ่นเฉิงโย่วท่องคาถาเบาๆ ไม่กี่ประโยค หนอนตัวนั้นเลื้อยรอบเอวนางสองสามรอบอย่างเกียจคร้านก็นิ่งสนิทไป
เถิงอวี้อี้ลองออกแรงดึงเล็กน้อย พบว่าไม่ขยับเขยื้อนอย่างที่คิด ในใจนางลอบยินดีปรีดาและเริ่มเดินตามลิ่นเฉิงโย่วไปข้างหน้าต่อ
ลิ่นเฉิงโย่วจูงเถิงอวี้อี้เดินไปอีกครู่ใหญ่ กลับแทบไม่รู้สึกถึงน้ำหนักในมือมากนัก เขาเริ่มไม่สบายใจขึ้นมา จึงต้องหันกลับไปมองให้แน่ใจหลายครั้ง
ใช่แล้ว หนอนล่ามวิญญาณพันรอบเอวเถิงอวี้อี้อย่างแน่นหนา เพียงเพราะนางตัวเบาหวิว จึงทำให้เขารู้สึกว่านางกำลังล่องลอย มองยืนยันแล้วก็ครุ่นคิดว่าโรคขี้ระแวงสามารถแพร่ใส่กันได้ด้วยหรือ ทั้งที่เขารู้แก่ใจดีว่าหนอนล่ามวิญญาณพึ่งพาได้มากเช่นไร แต่พอเถิงอวี้อี้วิตกกังวลเกินกว่าเหตุ เขาก็พลอยเป็นห่วงไปด้วย
เมื่อย้อนคิดถึงในอดีตหนอนล่ามวิญญาณเคยพันแต่ร่างภูตผีปีศาจมาทั้งนั้น เวลาพวกสิ่งชั่วร้ายดิ้นรนขึ้นมาแต่ละตัวล้วนมีพลังมากมายเหลือเกิน เขาจับพวกมันจนเคยชิน นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้โซ่สีเงินพันร่างเด็กสาวผู้หนึ่ง จึงรู้สึกผิดปกติอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเด็กสาวผู้นี้คือเถิงอวี้อี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกแปลกไปจากเดิม
“จริงสิ พวกเจ้าเจอไน่จ้งที่ใด” เมื่อครู่ตอนเข้าอารามมา เพราะเขารีบร้อนมาช่วยชีวิตคน จึงไม่มีความอดทนมานั่งฟังว่าคุณหนูเหล่านั้นพูดอะไรบ้าง เพียงแต่มีประโยคหนึ่งที่เขากลับจำขึ้นใจ วันนี้หากไม่ใช่เพราะเถิงอวี้อี้ไขปริศนาของไน่จ้งได้ คุณหนูเหล่านี้คงไม่มีทางหนีรอดออกมาแล้ว แต่ในคัมภีร์ร้อยปีศาจกล่าวว่าปริศนาของไน่จ้งมิใช่จะหาคำตอบเจอง่ายดายปานนั้น เขาอยากรู้สถานการณ์ในขณะนั้นอย่างยิ่ง
เถิงอวี้อี้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าท้อก่อนหน้านี้ให้เขาฟัง
ลิ่นเฉิงโย่วนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา รู้อยู่แล้วว่านางเจ้าเล่ห์แสนกล แต่คาดไม่ถึงว่านางจะมองออกรวดเร็วถึงเพียงนี้ว่าป่าท้อยังมีกลไกลี้ลับซ่อนอยู่ โดยจะทำหน้าที่อำพรางทางเข้าวังใต้ดินเอาไว้ ภายนอกเป็นต้ากั้วกว้า ทว่าแท้จริงแล้วจำนวนต้นท้อแต่ละแถวในป่าไม่เท่ากัน จะเรียงรายปะปนอย่างไม่สม่ำเสมอ แอบสอดคล้องกับลักษณะกว้าทั้งสิบสองเดือน คนทั่วไปมองผิวเผินเห็นต้ากั้วกว้าก็นึกว่าตนเองหาคำตอบเจอแล้ว ไม่มีทางลองนับจำนวนต้นท้ออย่างละเอียดซ้ำอีก
“เมื่อก่อนเจ้าเคยมาอารามนักพรตหญิงอวี้เจินนี้หรือ”
เถิงอวี้อี้ส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าไม่เคยมา เมื่อเช้าข้าได้ยินคนเล่าข่าวลือของอารามนี้ให้ฟัง ตอนออกมาเล่นสนุกกันก็เริ่มสังเกตแผนผังรอบตัว ระหว่างนั้นยังพูดคุยเกี่ยวกับลักษณะกว้าในป่ากับพี่สาวด้วย ตอนภิกษุรูปนั้นถามพวกเรา จึงไม่ถึงขั้นอ้ำอึ้งตอบไม่ถูก ซื่อจื่อ ท่านก็รู้เรื่องกลไกในอารามนักพรตหญิงอวี้เจินใช่หรือไม่”
“ตอนเด็กๆ เคยมาเล่นน่ะ”
แต่ในปีนั้นเขาอายุสิบขวบ หลังไขปริศนาทั้งหมดในอารามได้ เขาก็คร้านจะมาเที่ยวเล่นที่นี่แล้ว
เถิงอวี้อี้จ้องมองท้ายทอยของลิ่นเฉิงโย่ว ตั้งแต่เล็กมานางไม่เคยรู้สึกเลื่อมใสใครสักคนมาก่อน เวลานี้กลับรู้สึกชื่นชมความสามารถของลิ่นเฉิงโย่วจากใจจริง เมื่อครู่หากมิใช่เพราะลิ่นเฉิงโย่วมาถึงทันการณ์ คาดว่านางคงเป็นอาหารว่างของไน่จ้งไปแล้ว
นางหันหน้ามองสำรวจไปรอบทิศ “นี่พวกเรากำลังอยู่ในวังใต้ดินสินะ”
ลิ่นเฉิงโย่วส่งเสียงอืมขานรับ
“ใช่แล้ว ตอนซื่อจื่อมาถึงมองเห็นตวนฝูบ้างหรือไม่”
“ตวนฝู? ข้าไม่เห็น”
เถิงอวี้อี้รู้สึกงุนงง “น่าแปลกแล้ว ก่อนเกิดเรื่องตวนฝูเข้ามาในอารามแล้วชัดๆ ตอนเกิดเรื่องกลับบังเอิญไม่อยู่ เวลานานถึงเพียงนั้นตวนฝูจะไปอยู่ที่ใดกัน”
ลิ่นเฉิงโย่วชะงักงัน
เถิงอวี้อี้ลอบคิดในใจ คงไม่ใช่มีคนคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเรื่องในอาราม จึงหลอกล่อตวนฝูออกไปก่อน?