ความคิดนี้ก็น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว นางคิดทบทวนแล้วเอ่ยว่า “ซื่อจื่อเห็นคุณหนูใหญ่เผิงกับคุณหนูรองเผิงหรือไม่ บุตรสาวฝาแฝดคู่นั้นของเผิงเจิ้นนั่นอย่างไร”
ลิ่นเฉิงโย่วจำได้เพียงว่าตอนนั้นในกลุ่มคนไม่เห็นพวกเถิงอวี้อี้นายบ่าว แต่เขาไม่ได้สังเกตคนอื่นเลย
“พวกนางสองคนมีอันใดหรือ”
“ก่อนเกิดเรื่องอยู่ๆ พวกนางก็หายไป ต่อมาตอนไน่จ้งกักขังพวกเราไว้ บุตรสาวสองคนของสกุลเผิงก็ไม่เคยปรากฏตัวมาตั้งแต่ต้น”
ลิ่นเฉิงโย่วหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ “ก่อนไปไม่ได้บอกกล่าวใครไว้? แต่ก็มาหายไปกะทันหันอย่างนี้?”
“ใช่แล้ว อู่ฉี่ให้คนออกตามหาพวกนางไปทั่ว แต่ยังไม่ทันหาพี่น้องสกุลเผิงเจอ ไน่จ้งก็โผล่มาแล้ว”
สีหน้าลิ่นเฉิงโย่วเผยอารมณ์ซับซ้อน ระหว่างพูดคุยกันอยู่ก็เดินเลี้ยวโค้งหนึ่ง พบว่ามีบันไดตั้งอยู่ปลายทาง ขั้นบันไดผ่านตรงขึ้นไปชั้นบน ดูท่าตรงนี้คือทางออกแน่แล้ว
เถิงอวี้อี้ถามอย่างฉงนใจ “ไม่ใช่ว่าข้างบนยังมีวังใต้ดินอีกชั้นกระมัง”
ลิ่นเฉิงโย่วจึงอธิบาย “มีทั้งหมดสองชั้น ตอนยังไม่เปิดกลไกวังใต้ดินชั้นบนสุดนั่นจะเป็นอักษรคำว่า ‘เว้า’ ส่วนชั้นล่างเป็นอักษรคำว่า ‘นูน’* ตรงกลางระหว่างสองชั้นนี้จะมีแท่นโม่หินที่หมุนได้ ขอเพียงเปิดกลไก วังใต้ดินสองชั้นจะเกิดมุมตัดสลับ ในขณะเดียวกันจะมีทางเดินยาวบ้างสั้นบ้างโผล่มานับไม่ถ้วน แล้วกักขังคนเอาไว้ข้างในนี้”
เถิงอวี้อี้พยักหน้ารับรู้
ลิ่นเฉิงโย่วยังอธิบายเพิ่มอีกว่า “พอเดินพ้นบันไดจะไม่มีข่ายอาคมขวางกั้น ไน่จ้งจะสัมผัสกลิ่นอายของเจ้ากับข้าได้อย่างรวดเร็ว ขึ้นไปแล้วไม่ต้องพูดอะไร หากเกิดโชคดีไม่นานจะเดินออกไปได้ แต่หากพบไน่จ้งเข้า คงต้องดูตามสถานการณ์”
หัวใจเถิงอวี้อี้บีบรัดแน่น เดินตามลิ่นเฉิงโย่วขึ้นบันไดด้วยฝีเท้าเงียบกริบ พอมาถึงด้านบนสุดของบันได ลิ่นเฉิงโย่วไม่รีบร้อนชะโงกตัวออกไป แต่หยิบแผ่นยันต์ที่ขยุ้มเป็นก้อนกลมออกมา ก่อนจุดไฟพึ่บแล้วเขวี้ยงออกไป
ลูกไฟดวงนั้นกลิ้งหลุนๆ ไปบนทางเดินคับแคบทอดตัวยาว กลิ้งไปไกลลิบเปลวไฟถึงมอดดับลง
ดูท่าไน่จ้งคงไม่ได้อยู่แถวนี้
ลิ่นเฉิงโย่วโผล่ออกจากอุโมงค์ใต้ดินไปก่อน รอให้เถิงอวี้อี้ตามออกมาแล้วก็จูงหนอนล่ามวิญญาณพานางมุ่งตรงไปข้างหน้าตามทางเดิน ชั้นนี้พื้นที่กว้างกว่าชั้นล่างมากทีเดียว อากาศก็ไม่อับชื้นมากถึงเพียงนั้นแล้วด้วย
พวกเขาสองคนไม่พูดคุยอะไรกันอีก ลิ่นเฉิงโย่วนำเถิงอวี้อี้เลี้ยวไปเลี้ยวมา ไม่รู้ว่าหมุนตัวเดินไปทางนั้นทีทางนี้ทีกี่รอบแล้ว เมื่อทะลุผ่านทางเดินเส้นหนึ่งในที่สุดเบื้องหน้าก็โล่งปลอดโปร่ง พวกเขามองเห็นสะพานโค้งแห่งหนึ่ง ปลายสะพานโค้งเป็นตำหนักใหญ่โตโอ่อ่า ภายในตำหนักจุดตะเกียงน้ำมันสว่างไสว อาวุธตั้งเรียงรายแน่นขนัดเต็มไปหมด แล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านบนอย่างเลือนราง
เถิงอวี้อี้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ คาดว่าทางออกคงอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่คนทั้งสองยังไม่ทันเดินข้ามสะพานโค้งกระดิ่งบนข้อมือเถิงอวี้อี้พลันสั่นระรัวขึ้นมา ตามด้วยเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง คนผู้นั้นถอนหายใจเบาๆ “พระพุทธองค์ตรัสบอกซวีผูถี* ว่า ‘รูปลักษณ์ทั้งมวลล้วนเป็นของไม่จริง’ ”
“วิ่ง!”
ยามนี้เห็นได้ชัดว่าลิ่นเฉิงโย่วไม่สนใจจะจัดการไน่จ้งแต่อย่างใด