ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 7-8
หลังผู้ดูแลหญิงสกุลต่งเข้ามาในห้อง ก็เกาะติดอยู่ข้างกายลิ่นเฉิงโย่วไม่ห่าง พอเห็นว่าเขาจัดการเรื่องราวต่างๆ เสร็จสิ้นจึงรีบมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าลิ่นเฉิงโย่ว “ซื่อจื่อ การช่วยชีวิตคนสำคัญที่สุด ถ้าเช่นนั้นจะมอบยาช่วยชีวิตคนให้ข้าน้อยอีกสักเม็ดได้หรือไม่เจ้าคะ”
“หมดแล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วตอบโดยไม่ลังเล
บรรยากาศในห้องเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง สายตาทุกคนต่างเหลียวมองตรงไปที่จุดเดียว
ต้วนหนิงหย่วนเข้ามาคารวะตู้ฮูหยินแล้วก็ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างๆ ภายนอกแลดูสุขุมสงวนท่าที ทว่ากลับปิดบังความหวาดวิตกในแววตาไว้ไม่มิด ได้ยินคำนี้ก็ฝืนยิ้มออกมา “ซื่อจื่อชอบพูดจาล้อเล่นเสียจริง อารามชิงอวิ๋นเก็บรวบรวมสมบัติล้ำค่าของลัทธิเต๋าจากทั่วหล้า ไม่ต้องเอ่ยถึงยาแค่ขวดเดียว วิชาฟื้นคืนชีพก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรง หยิบยามอบให้บ่าวหญิงผู้นี้ไปเถอะ นางจะได้เลิกร้องไห้คร่ำครวญสร้างความรำคาญใจ”
ลิ่นเฉิงโย่วตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน “ยานั่นชื่อว่ายาลูกกลอนลิ่วหยวน สมุนไพรตัวยาเป็นของหายาก ท่านอาจารย์ทุ่มเทเวลาไปไม่น้อยเพื่อหลอมยาขวดนี้ขึ้นมา ตนเองตัดใจใช้ไม่ลง ก็เลยมอบให้ข้าใช้ป้องกันตัว ขวดแรกนั่นใช้ไปหมดเกลี้ยงแล้ว หากจะให้หามาอีกขวดก็ได้อยู่ แต่ต้องรออีกหลายปีโน่น”
ต้วนเหวินอินกับตู้ฮูหยินหันมาสบตากันอย่างตกตะลึง ที่แท้ก็เป็นยาชื่อเสียงโด่งดังอย่างยาลูกกลอนลิ่วหยวน ได้ยินว่ายาชนิดนี้คนธรรมดาทั่วไปก็กินได้ นอกจากช่วยขจัดโรคภัยยืดอายุขัย หากเป็นสตรีก็จะมีผิวพรรณงามเปล่งปลั่ง
แต่การหลอมยาชนิดนี้ต้องอาศัยโชควาสนา ในเวลาสิบปีไม่แน่ว่าจะได้ยามาสักขวด เนื่องจากได้มาไม่ง่าย จึงเทียบเคียงได้กับสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว
ในเมืองฉางอันมีคนเคยได้ยินกิตติศัพท์ของยาลูกกลอนลิ่วหยวนไม่น้อย ไม่มีผู้ใดไม่ละโมบอยากได้มาครอบครอง หากฝากไว้กับผู้อื่นบางทีคงชักนำให้เกิดหายนะไปนานแล้ว ทว่าเพราะเป็นของที่ลิ่นเฉิงโย่วพกติดตัว ถึงได้ไม่มีใครหน้าไหนกล้าคิดอาจเอื้อม
ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งนิ่งงันไปพักใหญ่ สุดท้ายก็ปล่อยโฮอย่างกลั้นไม่อยู่ “หลายปี? นี่มิเท่ากับว่าคุณหนูของข้าน้อยหมดทางรักษาแล้วหรือ น่าสงสารคุณหนู เมื่อเดือนก่อนเพิ่งจะถึงวัยปักปิ่น* เด็กสาวที่งดงามอ่อนหวานกลับมีชะตาอาภัพเช่นนี้”
นางร้องไห้ไปพลางนอนฟุบลงกับพื้น “รอให้นายท่านมาถึงจะต้องเจ็บปวดแทบขาดใจ ฮูหยินก็ล้มป่วยยังไม่หายดี หากรู้ข่าวร้ายของคุณหนูเข้าอาการคงทรุดลงแน่ๆ ต้องโทษความโง่เขลาของข้าน้อยผู้นี้ บ้านแม่ทัพเถิงแม้แต่บ่าวไพร่สามคนยังได้รับการช่วยเหลือแล้ว คุณหนูของข้าน้อยกลับต้องมาตายเปล่า”
ประโยคนี้ฟังดูแล้วชวนเศร้าสลดใจ ทว่าจะในที่แจ้งหรือที่ลับล้วนตำหนิว่าเถิงอวี้อี้เห็นแก่ตัวไร้น้ำใจ
ต้วนเหวินอินเผยสีหน้าอึดอัดใจ ส่วนตู้ฮูหยินดึงเถิงอวี้อี้มาปกป้องไว้ข้างหลังทันใด
เด็กอย่างอวี้เอ๋อร์ทำสิ่งใดไม่เคยคำนึงถึงความถูกผิด ปกป้องพวกพ้องของตนเองสำคัญเหนืออื่นใด ตวนฝูติดตามอยู่ข้างกายนางมานานหลายปี เป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ภักดีมาตลอด ต่อให้เหตุการณ์เมื่อครู่จะเกิดซ้ำสักร้อยหน นางย่อมตัดสินใจทำเหมือนเดิมอยู่นั่นเอง
เรื่องนี้จึงกล่าวโทษอวี้เอ๋อร์ไม่ได้อยู่แล้ว ทว่าจะอย่างไรต่งเอ้อร์เหนียงก็อยู่ในวัยสาวสะพรั่งดั่งบุปผาแรกแย้ม หากจบชีวิตลงเพียงเท่านี้คงเป็นเรื่องน่าเสียดายมากจริงๆ ตอนนี้ได้แต่หวังว่าเฉิงอ๋องซื่อจื่อยังมีวิธีอื่น มิฉะนั้น…
ทุกคนถูกเสียงร้องไห้ของผู้ดูแลหญิงสกุลต่งดึงความสนใจเอาไว้ เถิงอวี้กลับลอบจับตาดูผ้าม่านหน้าเตียง ชั่วขณะที่ต้วนหนิงหย่วนสนทนากับลิ่นเฉิงโย่ว ก็เกิดความเคลื่อนไหวหลังผ้าม่าน เป็นการสั่นสะเทือนเพียงน้อยนิด หากไม่คอยจับจ้องไม่แน่ว่าจะสังเกตเห็นได้ นางรู้แก่ใจดีจึงถอนสายตากลับมาเงียบๆ
ลิ่นเฉิงโย่วก็จับตาดูผ้าม่านเตียงอยู่เช่นกัน เขามองเห็นร่องรอยกระเพื่อมไหวแผ่วเบาตรงหน้าเตียง มุมปากยกโค้งเผยรอยยิ้มหยัน พอจะลุกขึ้นยืนต้วนหนิงหย่วนกลับซักถามเขาขึ้นมาอีกครั้ง “ซื่อจื่อ นอกจากยาลูกกลอนลิ่วหยวนแล้ว ยังมีวิธีอื่นหรือไม่”
ลิ่นเฉิงโย่วชำเลืองมองห้องด้านในครู่หนึ่ง ตัดสินใจนั่งลงไปอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีหรอก ปีศาจตนนี้ต้นอ่อนเป็นหญ้าแก่นแท้เป็นไม้ วันนี้งานเทศกาลซั่งซื่อตรงกับวันที่มันจะกลายเป็นมารพอดี เดิมทีอิทธิฤทธิ์ของมันก็ไม่อาจเทียบปีศาจทั่วไปได้อยู่แล้ว ยิ่งใกล้ยามจื่อเท่าไร พลังชั่วร้ายของมันยิ่งกล้าแข็ง หากไม่มีคนตัดแขนปีศาจทิ้งไปก่อนข้างหนึ่งจนกระทบกระเทือนลมปราณในร่างมัน ยาลูกกลอนลิ่วหยวนก็ไม่แน่ว่าจะรักษาชีวิตคนเจ็บเอาไว้ได้ ต่งเอ้อร์เหนียงยังไม่ได้กินยา ข้าเองก็ไม่มีวิธีอื่น”
ต้วนหนิงหย่วนกลืนน้ำลาย ถามเน้นย้ำทีละคำ “หมดทางเยียวยาจริงหรือ”
“หมดทางเยียวยาแล้ว”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเอ่ยปากอย่างอดไม่อยู่ “แม่ทัพน้อยต้วน ศิษย์พี่ของพวกเราก็ได้รับบาดเจ็บ ถ้ายังมียาลูกกลอนลิ่วหยวนอยู่ เหตุใดเขาถึงไม่กินเองเสียเลยเล่า”
เช่นนี้เองทุกคนถึงได้มองเห็นว่าบนเสื้อคลุมลิ่นเฉิงโย่วยังเปรอะเปื้อนคราบเลือด สีหน้าของเขาก็ดูย่ำแย่กว่าก่อนหน้านี้มาก
เมื่อครู่เหล่าขันทีแตกตื่นตกใจกันถ้วนหน้า พวกเขาไม่ทันสนใจเสื้อผ้าของลิ่นเฉิงโย่ว คราวนี้พอกวาดสายตามองก็ต้องอกสั่นขวัญแขวนทันใด วิ่งกรูกันเข้าไปราวกับผึ้งแตกรัง ยุ่งกับการเตรียมปรนนิบัติดูแลลิ่นเฉิงโย่ว
“ซื่อจื่อ จะให้ข้าน้อยส่งคนไปกองโอสถหลวงเชิญหัวหน้ากองอวี๋มาหรือไม่ขอรับ”
ลิ่นเฉิงโย่วยกแขนกันพวกเขาออกไปอย่างรำคาญ “อย่าเอะอะวุ่นวายนักเลย”
ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งยังคงคร่ำครวญด้วยความเสียใจ “เป็นคราวเคราะห์ที่ไม่คาดคิดแท้ๆ ฮูหยินยังล้มป่วย คุณหนูรองก็เฝ้าปรนนิบัติข้างเตียงทั้งวัน อุตส่าห์หาโอกาสออกมาร่วมฉลองเทศกาล ก็มาจบชีวิตลงเช่นนี้ ขอแค่ยาเม็ดเดียวเท่านั้น เพราะอะไรถึงต้องใจร้ายใจดำกันด้วย…”
ต้วนหนิงหย่วนยืนตัวแข็งอยู่กับที่เหมือนหุ่นไม้ ความโศกเศร้าประดังประเดไม่มีหนทางระบาย พอคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ก็จ้องเถิงอวี้อี้เขม็งอย่างโกรธขึ้ง
นี่คือว่าที่ภรรยาของข้าอย่างนั้นหรือ