บทที่ 4.1 ชี้แนะส่วนตัว
“ยืดหลังตรง เชิดหน้าขึ้น อย่าก้มหน้า”
ฉู่จิ่นเหยาทำตามคำชี้แนะของฉินอี๋ ฝึกหัดท่าทางยามคารวะอย่างเก้ๆ กังๆ ฉู่จิ่นเหยาคิดในใจว่าฟังจากคำพูดคำจา ภูตอย่างฉีเจ๋อดูเหมือนนิสัยไม่ค่อยดี คิดไม่ถึงว่ายามสอนคนจะอดทนไม่น้อย นางทำผิดตรงที่ใด เขาก็จะค่อยๆ แก้ให้ทีละนิดโดยมิได้ด่าทอ
“อย่าโงนเงน”
“ข้าก็ไม่ได้อยากโงนเงน” ฉู่จิ่นเหยาพูดอย่างยากลำบาก “แต่ข้าควบคุมไม่ได้”
ฉินอี๋นับว่าพอใจต่อ ‘ศิษย์’ ที่มีวาสนาได้รับการชี้แนะจากตนเองผู้นี้ แม้กิริยาของฉู่จิ่นเหยาจะงุ่มง่าม แต่อดทนต่อความยากลำบากได้ดี เขาบอกก็แก้ไขทันที เก่งกว่าสตรีช่างพูดพวกนั้นในวังมากนัก ฉินอี๋จึงกล่าวขึ้น
“เหนื่อยแล้วก็พักสักครู่แล้วกัน”
บนหน้าผากฉู่จิ่นเหยาแทบจะมีเหงื่อผุดออกมาแล้ว แต่นางยังคงส่ายหน้า “ไม่ได้ ข้าเพิ่งจะทำท่านี้ถูก หากพักประเดี๋ยวท่านต้องมาคอยแก้ไขให้ข้าอีก ข้าทำท่านี้ค้างไว้อีกสักพัก รอข้าจำได้แล้วก็ดีขึ้นเอง”
ฉินอี๋ได้ยินวาจานี้แล้วก็มองฉู่จิ่นเหยาสูงขึ้นกว่าเดิม คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นคนที่อดทนทรหดปานนี้ คุณหนูชั้นสูงทั่วไปมีใครยอมให้ตนเองลำบากเช่นนี้บ้าง
เมื่อฉู่จิ่นเหยาแน่ใจว่าจำได้แล้ว นางถึงกับล้มฟุบลงกับพื้น รีบทุบน่องของตนเองทันที “เมื่อยเหลือเกิน”
ฉินอี๋ตั้งใจจะบอกให้ฉู่จิ่นเหยาอย่านั่งกับพื้น อย่าเผยขาออกนอกกระโปรง เรื่องนี้สำคัญกว่าทำท่าคารวะไม่ถูกต้อง แต่พอเหลือบมองริมฝีปากสีซีดของนางคราหนึ่ง สุดท้ายเขาก็ไม่พูดอะไร
ฉู่จิ่นเหยาพักเสร็จเรียบร้อยก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “พวกเราฝึกกันต่อเถิด”
“ได้” ฉินอี๋มองร่างที่โงนเงนจวนจะล้มของฉู่จิ่นเหยาก็เอ่ยปากบอกเรียบๆ “ข้าสอนท่านั่งให้เจ้าแล้วกัน ตอนนี้ไปนั่งบนม้านั่ง วางขาชิดกันให้ดี”
“ได้” ฉู่จิ่นเหยารีบไปนั่งลงบนม้านั่งกลม บนม้านั่งมีเบาะแพรเย็บติดอยู่ นั่งแล้วสบายยิ่ง ขาที่สั่นน้อยๆ ของนางดีขึ้นมากแล้ว นางรออยู่ครู่หนึ่งก็ถามอย่างอดรนทนไม่ไหว “ต่อไปเล่า”
ฉินอี๋อยากจะถอนหายใจ ดูท่าทางทึ่มทื่อของนางเถิด เขาทำได้เพียงบอกว่า “ยามคารวะ นอกจากยอบกายแล้วจะพูดอะไรก็ต้องมีพิธีรีตอง คนต่างกันวาจาย่อมต่างกัน ต่อให้เป็นคนคนเดียวกัน หากช่วงเวลาแตกต่างกัน คำอวยพรก็ต้องไม่เหมือนกัน”
ฉู่จิ่นเหยาพยักหน้ารับคำสอน ฉินอี๋ก็กล่าวต่อไปอีก
“เจ้าเป็นสตรี มารยาทที่เจ้าพึงมีอันที่จริงง่ายดายเหลือเกิน หากเป็นญาติผู้ใหญ่ เจ้าเผลอทำผิดไปก็ไม่เป็นไร พูดเอาใจพวกเขาสักนิดก็ผ่านไปได้แล้ว ยิ่งเจ้าอยู่ที่ซานซี นอกจากสกุลฉู่ก็มีตระกูลใหญ่ๆ ไม่กี่ตระกูล หากเจ้าไม่ได้ไปล่วงเกินใครก็ไม่มีใครกล้ามาล่วงเกินเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกริ่งเกรงถึงเพียงนี้ ถัดจากญาติผู้ใหญ่ลงมา คนรุ่นเดียวกันไม่ต้องไปสนใจ ปล่อยให้พวกเขาคารวะเจ้าไป เป็นพวกบ่าวไพร่เสียอีกที่เจ้าต้องระวังไว้หน่อย”
ฉู่จิ่นเหยารู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้อง อะไรคือคนรุ่นเดียวกันไม่ต้องไปสนใจ ต่อให้เป็นพี่สาวน้องสาวรุ่นเดียวกันคารวะนาง นางยังไม่กล้ารับ ทว่าเขาอุตส่าห์หวังดีอธิบาย ฉู่จิ่นเหยาก็มิได้ขัดอย่างคนไม่รู้กาลเทศะ แต่กลับขอคำชี้แนะอย่างถ่อมตน
“เหตุใดต้องระวังบ่าวไพร่ด้วยเล่า”
“ชนชั้นล่างพึงควบคุม เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะทำทุกอย่างด้วยตนเอง ดูคนออก ใช้คนเป็น กำราบผู้คนได้ก็แสร้งทำเป็นหูหนวกอย่างเหมาะสมได้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่สุดในวัง…ในจวน เป็นต้นว่าสาวใช้ที่เปิดม่านให้เจ้าที่เรือนมารดาเจ้าวันนี้ นางตั้งใจอบรมบ่าวแทนเจ้า แสดงว่าคนผู้นี้ดึงมาเป็นพวกได้ มิฉะนั้นเรื่องที่เปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์อย่างการสอดมือเข้าไปอบรมสาวใช้ของผู้อื่นเช่นนี้ใครจะยอมทำ ทั้งยังมีหมัวมัวชราผู้นั้น นางจะต้องรู้สึกผิดต่อเจ้าอยู่แน่นอน ในเวลาที่เหมาะสมเจ้าสามารถใช้ประโยชน์จากนางได้”
ฉู่จิ่นเหยาตกใจจนอึ้งงันไป “วันนี้ท่านตามข้าออกไปวันเดียวถึงกับมองทะลุหลายเรื่องปานนี้เชียวหรือ”
“แค่ดูคนไฉนเลยจะต้องใช้เวลาทั้งวัน” ฉินอี๋กล่าวเตือนอย่างไม่ชอบใจ “ตั้งใจฟัง อย่าขัดจังหวะ”