บทที่ 413
“กวนจวินโหวจัดการอันธพาลพวกนั้นได้แล้วหรือ” นายหญิงเซี่ยซึ่งนอนป่วยอยู่บนเตียงได้ยินรายงานจากสาวใช้แล้วกระฉับกระเฉงขึ้นบ้างทันใด นางเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
เซี่ยเซิงเซียวกุมมือมารดา “ท่านแม่ ท่านสบายใจได้ เรื่องราวคลี่คลายแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านเจียงอู่ของกององครักษ์จินหลินออกปากเองว่าวันหน้าผู้ใดมาหาเรื่องครอบครัวเราก็เท่ากับเป็นปฏิปักษ์กับเขา”
นายหญิงเซี่ยลุกขึ้นนั่งประนมมือพลางพูดมุบมิบ “ขอบคุณฟ้าดิน เป็นโชคดีจริงๆ ที่ได้เทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสารทิศคุ้มครอง”
เซี่ยเซิงเซียวเลิกคิ้วสูง “เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับเทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสารทิศด้วยเจ้าคะ”
นายหญิงเซี่ยมองค้อนบุตรสาววงหนึ่ง “เจ้าลูกตัวดี ถึงตอนนี้ยังจะยั่วโมโหข้าอีก โตป่านนี้แล้วไม่ยอมมีเหย้ามีเรือน จะก่อปัญหาขึ้นอีกเมื่อไรก็สุดรู้ เจ้าต้องให้ข้าโมโหตายสักวันถึงจะพอใจหรือ”
เซี่ยเซิงเซียวมองสำรวจมารดา “ท่านแม่ ท่านหายป่วยแล้วหรือเจ้าคะ”
นายหญิงเซี่ยปรายตามองนาง “เจ้าก่อเรื่องให้มันน้อยๆ หน่อย ข้าจะกลุ้มใจจนไม่สบายได้อย่างไรเล่า”
เซี่ยเซิงเซียวพยักหน้า “ดูท่าทางท่านหายดีแล้วจริงๆ อย่างนั้นข้าก็วางใจเสียที”
“หือ?” นายหญิงเซี่ยมองบุตรสาวปราดหนึ่ง
เซี่ยเซิงเซียวแย้มยิ้ม “ช่วงที่ผ่านมาท่านแม่ล้มป่วย ข้ารู้สึกละอายใจมากเจ้าค่ะ”
“รู้จักละอายใจก็ดี เอาล่ะ ข้าสบายตัวขึ้นมากแล้ว เจ้าไม่ต้องอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนอีก กลับห้องไปปักผ้าเถอะ หากเจ้าปักผ้าเช็ดหน้าเสร็จสักผืนได้ ข้าก็อายุยืนร้อยปีแล้ว”
เซี่ยเซิงเซียวกลอกตาขึ้นแล้วสาวเท้าออกไป
“เจ้าลูกผู้นี้!” นายหญิงเซี่ยคับอกคับใจระลอกหนึ่ง
ทางนายท่านเซี่ยรั้งตัวเซ่าหมิงยวนให้อยู่กินอาหารร่วมกันอย่างอบอุ่นเปี่ยมด้วยไมตรี ไหนเลยจะรู้ว่ากินไปได้ครึ่งๆ กลางๆ สาวใช้สวมเสื้อกั๊กสีเขียวไข่กาก็วิ่งเข้ามาอีก นางทำหน้าเสียพลางกล่าวว่า “นายท่าน แย่แล้วเจ้าค่ะ นายหญิงเป็นลมไปแล้ว!”
นายท่านเซี่ยลุกพรวดขึ้นยืน จากนั้นคล้ายคิดอะไรได้ก็นั่งลงตามเดิมช้าๆ วางหน้าขรึมเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูของพวกเจ้าซุกซนอีกแล้วใช่หรือไม่”
สาวใช้กระทืบเท้าอย่างร้อนรน “ไม่ใช่เจ้าค่ะ นายท่าน คุณหนูหนีออกจากเรือนไปแล้ว ทิ้งสารไว้ให้นายหญิงฉบับหนึ่ง นายหญิงอ่านแล้วถึงได้ร้อนใจจนเป็นลมไป”
พอได้ยินว่าบุตรสาวหนีออกจากเรือน สีหน้าของนายท่านเซี่ยบูดบึ้งไปหมด เขาพูดเสียงรัวเร็ว “สารอยู่ที่ใด”
สาวใช้รีบยื่นสารให้เขา “นายท่าน สารเจ้าค่ะ”
นายท่านเซี่ยรับมากวาดสายตาอ่านอย่างว่องไวจบ มือของเขาสั่นเทาด้วยความโกรธา ก่อนจะกล่าวสบถซ้ำๆ “เจ้าลูกเวรลูกกรรมผู้นี้ อยากจะให้มารดาของนางตายหรืออย่างไร!”
เฉียวเจาลอบเตะเซ่าหมิงยวนทีหนึ่ง
เขากระแอมกระไอเบาๆ ก่อนกล่าวขึ้น “ท่านลุง บุตรสาวของท่านไปที่ใดหรือขอรับ”
นายท่านเซี่ยเป็นทหารตั้งแต่วัยหนุ่มจนบัดนี้ยังคงเป็นคนไม่ถือธรรมเนียมจุกจิกหยุมหยิมตามประสาผู้เป็นนักรบอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งขณะนี้เขากำลังโมโหบุตรสาวจนหน้ามืดจึงยื่นสารให้ชายหนุ่มอ่านทันที
เซ่าหมิงยวนเพียงเห็นในนั้นเขียนไว้ว่า
‘อันว่าไยบุรุษมิจับดาบต่อสู้ ตีด่านยึดเมืองคืนกู้ศักดิ์ศรี สตรีนี้มิด้อยกว่าชายชาตรี หากวอโค่วมิป่นปี้ไม่เลิกรา!’
นายท่านเซี่ยตบเข่าดังฉาด “นางถึงกับไปสังหารชาววอโค่วจริงๆ หรือนี่! ช่าง…” เขาหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อยถึงกล่าวต่อ “ช่างน่าเสียดายนักที่มิใช่บุตรชาย”
เซ่าหมิงยวนอยากหัวร่ออย่างปราศจากเหตุผล
ผู้ใดจะรู้ว่าเพิ่งสิ้นเสียงนายท่านเซี่ย ม่านประตูก็ถูกเลิกขึ้น สตรีออกเรือนแล้วนางหนึ่งพุ่งทะยานเข้ามาประหนึ่งพายุหมุน
นายท่านเซี่ยเห็นแล้วหน้าถอดสีไปถนัดตา เขากล่าวเสียงสั่น “ฮูหยิน…”
นายหญิงเซี่ยบิดหูเขาพร้อมกับร้องตวาด “น่าเสียดายที่มิใช่บุตรชายรึ! หากเป็นบุตรชายท่านคงส่งเขาไปตั้งนานแล้วใช่หรือไม่ นางเป็นสตรีผู้หนึ่งแท้ๆ ทว่าวันๆ คิดแต่จะสังหารชาววอโค่ว ก็เพราะเสาหลักอย่างท่านไม่ตรงเสารองถึงได้เอียง มิหนำซ้ำยังแสร้งทำเลอะเลือนต่อหน้าข้าอีก!”
“ฮูหยิน มีคนอื่นอยู่ด้วยนะ” นายท่านเซี่ยหน้าแดงก่ำเป็นสีตับหมูแล้ว
“ไม่ว่าใครอยู่ก็ช่าง ท่านปล่อยให้บุตรสาวข้าหายตัวไปไม่ได้ เจ้าลูกเวรลูกกรรมผู้นั้น เพิ่งสะสางปัญหาไปได้อย่างหนึ่งก็ก่อเรื่องใหม่อีก คงไม่อยากเห็นข้าอยู่ดีมีสุข!”
นายท่านเซี่ยอดแก้ต่างแทนบุตรสาวไม่ได้ “ไม่ใช่นะ ฮูหยิน เซิงเซียวต้องเห็นว่าปัญหาคลี่คลายลงแล้วถึงได้จากไปเป็นแน่ ก่อนหน้านี้นางเฝ้าไข้อยู่ข้างเตียงเจ้าไม่ห่างสักชั่วเค่อหนึ่งเลยมิใช่หรือ นางเห็นว่าในเรือนหมดปัญหาแล้ว เจ้าก็หายป่วยแล้วถึงได้จากไป”
“ความหมายของท่านคือนางจากไปในเวลานี้มีเหตุผลมากหรือ” นายหญิงเซี่ยถลึงตาไต่ถาม
คำพูดของตาเฒ่าบัดซบมีความหมายเช่นที่นางเข้าใจนี้กระมัง