บทที่ 415
มันเป็นภาพวาดกองหิน
บนกระดาษสีขาวมีกองหินโดดเดี่ยวกองหนึ่งแค่นี้ ลายเส้นหยาบๆ จนแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะหาตำแหน่งที่ตั้งของมันได้พบ
เซ่าหมิงยวนกลับพบว่าสีหน้าของเฉียวเจาผิดปกติไปบ้าง “เจาเจา?”
นางเพ่งมองกองหินที่ปรากฏบนกระดาษอย่างเหม่อลอย ขยับๆ ริมฝีปากถึงเปล่งเสียงพูดออกมาได้ประโยคหนึ่งคล้ายว่าต้องใช้เรี่ยวแรงจนหมดทั้งกาย “ข้ารู้ว่าที่นี่คือที่ใด”
เขาโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ “เป็นสถานที่ใดหรือ”
เฉียวเจาเหลือบตาขึ้นสบตาเขา แพขนตายาวดุจปีกแมลงกระพือขึ้นลงเบาๆ นางเม้มปากแล้วพูด “นี่คือสวนหินในสวนดอกไม้เรือนข้า”
เซ่าหมิงยวนอึ้งงันไปในคราแรก จากนั้นถึงรู้สึกว่าเดิมก็สมควรเป็นเช่นนี้
ภาพกองหินหยาบๆ ไม่มีจุดเด่นใดกองหนึ่งเช่นนี้ถูกวาดอยู่โดดๆ บนกระดาษสีขาว หากไม่ได้เป็นสิ่งที่เจาเจาคุ้นเคยมากที่สุด มีหรือท่านพ่อตาจะจงใจให้คนมอบต่อให้นาง
ทอดสายตามองไปทั่วหล้ายามนี้ นอกจากเจาเจาแล้ว เกรงว่าไม่ว่าใครก็ตามได้สารฉบับนี้ไปล้วนต้องงุนงงไม่เข้าใจ
ชายหนุ่มอดนับถือในความสุขุมรอบคอบของใต้เท้าเฉียวไม่ได้
สารฉบับนี้น่าจะเกิดจากการคาดคะเนสถานการณ์ไปในทางร้ายมากที่สุดของท่านพ่อตาเขา
“สวนหินในสวนดอกไม้เรือนข้ามีโพรงจุดหนึ่ง ทิศทางของปากโพรงเป็นช่องลมโกรกพอดี สมัยข้าเป็นเด็กพอถึงฤดูร้อนมักจะหลบอยู่ในนั้นรับลมเย็นเสมอ ดังนั้นทุกๆ เส้นสายโค้งเว้าของมันล้วนจดจำได้แม่นยำ ถึงแม้กองหินในภาพนี้จะวาดหยาบๆ ทว่าข้ามองปราดเดียวก็แน่ใจว่าเป็นที่นั่นอย่างไร้ข้อกังขา” เฉียวเจาลูบไล้กระดาษสารพลางพูดพึมพำ “ไม่รู้ว่าในโพรงสวนหินเก็บซ่อนอะไรไว้ แล้วมันเสียหายไปในเหตุไฟไหม้ครั้งนั้นหรือไม่”
“ไปดูก็สิ้นเรื่อง”
“นายอำเภอหวังจับตาดูอยู่นะ”
แผนล่องูออกจากถ้ำเป็นเรื่องหนึ่ง เมื่อมีของสำคัญต้องไปค้นหาจริงๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับคนที่คุ้นเคยกับการเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์เสมอ เป็นธรรมดาที่ไม่อยากให้เกิดปัญหาใหม่แทรกขึ้น
“ตอนดึก”
นางนิ่งขึงไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า “ได้”
ยามเที่ยงคืนผืนฟ้าค่อนข้างขมุกขมัว มีเมฆดำบดบังดวงจันทร์ไว้พอดี ดวงดาวทอแสงริบหรี่บางตา
ภายนอกมืดสนิทจนน่าพรั่นใจ
ในความมืดชายหนุ่มคว้ามือเฉียวเจาขึ้นมาพร้อมกระซิบบอก “ไม่มีแสงจันทร์กลับทำอะไรได้สะดวก”
แม่นางเฉียวไม่รู้ว่าจะพูดตอบอย่างไรดีโดยสิ้นเชิง
ไม่มีแสงจันทร์ทำอะไรได้สะดวก ด้วยเหตุนี้คนบางคนก็สามารถจูงมือนางได้อย่างเปิดเผยหรือ
แน่นอนว่าคราครั้งนี้เฉียวเจามิได้ขัดขืน
แต่ละเรื่องต้องรู้จักแยกแยะหนักเบาเร็วช้า การไปค้นดูสวนดอกไม้เรือนสกุลเฉียวให้แน่ชัดเป็นเรื่องสำคัญ ในค่ำคืนเฉกนี้นางมองไม่เห็นแม้แต่ทางเดิน มีคนจูงมือไว้ย่อมอุ่นใจ หาไม่แล้วหากหกล้มลงไป เจ็บตัวกลับไม่เป็นอะไร แต่ทำให้คนอื่นไหวตัวทันต่างหากถึงน่าปวดศีรษะ
เฉียวเจาโอนอ่อนคล้อยตามเช่นนี้ทำให้เซ่าหมิงยวนอมยิ้มน้อยๆ
มือของเด็กสาวนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูก เขาออกแรงบีบทีหนึ่งอย่างอดใจไม่อยู่
นางพูดเอ็ดเสียงเบาๆ “เซ่าหมิงยวน”
ในม่านราตรีเขามองไม่เห็นสีหน้าของนาง เพียงรู้สึกว่าเสียงเรียก ‘เซ่าหมิงยวน’ ละม้ายขนนกซุกซนที่สะกิดหัวใจเขาให้คันยุบยิบ
“อย่าส่งเสียง” ชายหนุ่มยื่นหน้าไปพูดเบาๆ ข้างใบหูนาง
พูดจบเขาพลันโอบเอวนางไว้พร้อมกับกระโดดตัวลอยขึ้นจากพื้น ใช้อีกมือหนึ่งเกาะขอบกำแพง
อีกฟากหนึ่งของกำแพงเป็นความมืดมิดอันธการ ต้นไม้ใบหญ้าเป็นเงาดำตะคุ่มๆ ประหนึ่งภูตผียืนอยู่นิ่งๆ
เซ่าหมิงยวนพาเฉียวเจาทิ้งตัวลงพื้นอย่างไร้สุ้มเสียง เขากระซิบถาม “ยืนทรงตัวได้แล้วหรือยัง”
นางพยักหน้าตอบ