เขาปล่อยมือจากเอวเล็กบางแล้วบอกเบาๆ “เช่นนั้นไปกันเถอะ”
“จัดการคนที่เฝ้าดูอยู่แล้วหรือ” เฉียวเจาถามเสียงค่อย
“จัดการแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ตอนนั้นคนผู้นั้นกำลังหลับสบาย รอพรุ่งนี้เขาตื่นขึ้นก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร เพียงนึกว่าตนเองเผลอหลับไป”
ทั้งสองกุมมือกันเดินตัดผ่านสวนซิ่งจื่อท่ามกลางผืนรัตติกาล
คฤหาสน์หลังใหญ่ของสกุลเฉียวเหลือเพียงซากกำแพงหักพังทอดตัวเป็นแนวในความมืดแฝงความน่าสะพรึงกลัว
กระนั้นในใจเฉียวเจาหาได้หวาดกลัวต่อเรือนที่ใช้ชีวิตอยู่มานานไม่ ขณะที่นางให้เซ่าหมิงยวนจับจูงมือเดินไป ตรงกลางอกมีเพียงความระทมขมขื่นเท่านั้น
นางกับบุรุษข้างกายหมั้นหมายกันมานานแสนนาน เขาคือคนที่ท่านปู่เลือกให้ด้วยตนเอง
ช่วงสองปีก่อนท่านปู่ล่วงลับ ได้เร่งรัดให้นางออกเรือนโดยตลอด เห็นได้ว่าในใจท่านวาดหวังอยากให้นางแต่งงานมาก
ใช่หรือไม่ว่าท่านปู่ยังวาดหวังอีกว่าสักวันหนึ่งนางกับบุรุษผู้นี้จะจูงมือกันเดินเข้าสู่เรือนในสวนซิ่งจื่อมาเยี่ยมท่าน
เมื่อคิดคำนึงถึงตรงนี้ เฉียวเจาบีบมือที่กุมฝ่ามือใหญ่สากด้านของเขาแน่นขึ้น
ชายหนุ่มย่อมรับรู้ได้ เรียวคิ้วของเขาที่เร้นอยู่ในเงามืดเลิกขึ้นเล็กน้อย
“เดินระวังๆ” เขากระซิบบอกที่ข้างหูเด็กสาว
“ไปทางนี้” ที่นี่เป็นเรือนของนาง ถึงเฉียวเจาหลับตาก็ยังจดจำได้ทุกซอกมุม
นางจับมือเซ่าหมิงยวนไว้แน่นขณะเดินสลับหยุดพักจนไปถึงด้านข้างสวนหิน
สวนดอกไม้ด้านหลังเป็นจุดที่คงสภาพเดิมไว้ได้มากที่สุดหลังเหตุไฟไหม้ สวนหินที่ก่อสร้างนานหลายปีกับสระน้ำไม่ไกลนักไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าไร มีเพียงกลิ่นเหม็นเน่าของใบไม้ลอยมาจากในน้ำจางๆ ไม่หลงเหลือภาพความงามของดอกบัวแรกแย้มบานเฉกในวันวานให้เห็นอีกต่อไป
ปากโพรงหินคล้ายสัตว์ดุร้ายอ้าปากใหญ่มหึมาซ่อนตัวอยู่ในความมืดสนิท
เวลานี้เองเซ่าหมิงยวนถึงจุดตะเกียงดับยากที่พกติดตัวมา ใช้เรือนกายสูงใหญ่บดบังแสงไฟไว้แล้วก้มตัวมองเข้าไปข้างในโพรงหิน
มาตรว่าปากทางเข้าจะคับแคบ แต่ภายในกว้างไม่น้อย ใต้แสงไฟที่ส่องสว่างมองเห็นฝุ่นดินเกาะกับหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
“แม่ทัพเซ่า ข้าจะเข้าไปดู รบกวนท่านส่องไฟให้ข้าด้วย”
เขารั้งตัวนางไว้ “ข้าเข้าไปเถอะ ในนั้นสกปรก”
“ไม่ต้อง ท่านตัวสูง เข้าไปก็มือไม้เก้งก้าง อีกอย่างหนึ่งไม่คุ้นที่ทางเท่าข้าด้วย”
เขายังจับมือนางไว้ “รอสักครู่”
เฉียวเจาหยุดยืนมองเขา
เซ่าหมิงยวนชูตะเกียงมองสำรวจทั้งสี่ทิศ จากนั้นก้มตัวลงเก็บไม้ไผ่ปล้องหนึ่งตรงริมสระน้ำ เขาถือมันไว้ในมือแล้วแหย่เข้าไปในโพรงหิน
เขาตรวจดูทุกๆ ซอกมุมอย่างละเอียด ไม่ปล่อยให้จุดใดหลุดรอดไปได้
ทันใดนั้นมีบางอย่างพันกับไม้ไผ่ก่อนเคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบนอย่างว่องไว
ใต้แสงตะเกียงเฉียวเจามองเห็นได้ชัดถนัดตาว่านั่นเป็นงูสีเขียวตัวหนึ่ง
นางไม่ได้ร้องอุทาน แต่หน้าซีดเผือดทันใด
ไม่ต้องตรองดูก็รู้ว่าถ้าเมื่อครู่นางเข้าไปทันที ดีไม่ดีเจ้างูตัวนี้อาจจะเลื้อยมาบนตัวนางก็เป็นได้
“เซ่าหมิงยวน…” นางส่งเสียงเรียกเบาๆ
เขายื่นมือจับงูแล้วขว้างไปไกลๆ ด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบถึงเบือนหน้ามาถามนาง “ตกใจหรือไม่”
เฉียวเจาส่ายหน้า “ไม่”
“เข้าไปเถอะ ระวังหน่อยนะ” เซ่าหมิงยวนยืดตัวขึ้นแล้วโยนไม้ไผ่ทิ้งไปบนพื้นเบาๆ
“ขอบคุณมาก” เฉียวเจาอาศัยแสงไฟสลัวมองเห็นดวงหน้าของอีกฝ่ายได้รางๆ
ในยามราตรีดวงตาของเขายิ่งแจ่มกระจ่างเป็นประกายชวนพิศอย่างมาก
จู่ๆ หญิงสาวก็ไม่กล้ามองต่ออีก นางจึงก้มศีรษะลอดเข้าไป
เซ่าหมิงยวนวางตะเกียงไว้ตรงปากทางเข้า ด้านในโพรงหินก็สว่างไสวทันใด
เฉียวเจายกมือลูบไล้ผนังของโพรงหิน
นางคุ้นเคยกับทุกจุดในนี้ หลับตาลงก็ยังนึกภาพออกได้
ท่านพ่อเพียงมอบกระดาษที่วาดรูปสวนหินให้นางแผ่นหนึ่ง เพื่อจะบอกนางว่าที่นี่เก็บซ่อนสิ่งใดไว้นะ
นางคลำหาไปตามผนังหินทีละชุ่น ค้นดูตามซอกหินซึ่งซ่อนของได้ตามความทรงจำจนทั่วแล้วก็ไม่พบอะไรสักอย่าง
ทันใดนั้นบุรุษที่ยืนอยู่ด้านนอกปากโพรงก็ดับตะเกียงพร้อมกับเรือนกายสูงใหญ่แทรกเข้ามา