คำพูดพล่อยๆ ของคนในหมู่บ้านวันนี้ทำให้เฉียวเจาหัวเสียไม่น้อย เซ่าหมิงยวนสงสารเห็นใจนางมาก จึงยื่นมือไปจับมือนางพลางกล่าว “พวกชาวบ้านงมงาย ไม่ต้องไปถือสาหาความกับพวกเขา ฝ่ายตรงข้ามควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เป็นเรื่องดี เมื่อพวกเขาอดทนไม่ไหวจนต้องลงมือ พวกเราถึงจับหางของพวกเขาได้ เจาเจา ถ้าพวกเราจับยอดฝีมือข้างกายเจ้าเมืองหลี่ผู้นี้ไว้ในกำมือได้ เจ้าว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไร”
นางตรึกตรองเล็กน้อยก่อนหัวเราะเบาๆ “คงจะเป็นสุนัขจนตรอกกระมัง”
“ที่ต้องการก็คือสุนัขจนตรอกนี่ล่ะ! เสี่ยวเจา ติดตามท่านโหวของเจ้าไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าของสกุลเฉียวต่อเถอะ” เขามีเจตนาพูดสัพยอกเฉียวเจา ด้วยรู้ว่านางอารมณ์ไม่ดี
“ท่านโหว?” นางเลิกคิ้วขึ้น คำเรียกขานนี้กลับแปลกใหม่นัก
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “หรือท่านพี่”
เฉียวเจาอดหน้าแดงไม่ได้ นางมองค้อนเขา “พูดจาเหลวไหล ยังไม่รีบเตรียมออกไปข้างนอกอีก”
บุรุษตรงหน้าทำตาลอยมองนางอย่างหวานซึ้ง
เฉียวเจาเม้มปาก เจ้าคนทึ่มผู้นี้มัวฝันกลางวันอะไรอีกแล้ว
“เจาเจา เมื่อคืนข้าฝันถึงคืนเข้าหอของพวกเรา…”
“หุบปากนะ!” เฉียวเจาสะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยสีหน้าง้ำงอ
แม่ทัพหนุ่มที่ถูกทิ้งไว้ลูบๆ จมูก
เขาเพียงอยากบอกเจาเจาว่าเมื่อคืนฝันว่าเขากับนางเพิ่งกราบไหว้ฟ้าดินก็มีพระราชโองการมาถึง เขาไม่ทันได้เห็นหน้านางก็ต้องออกศึกอีกแล้ว หลังเขาตื่นขึ้นในใจยังคงหมองเศร้าเต็มทีเพราะความฝันนี้
เหตุใดเจาเจาไม่ฟังเขาพูดให้จบก็เดินหนีไปอย่างฉุนเฉียว
จวบจนทั้งสองออกจากเรือน แม่ทัพหนุ่มยังขบคิดปัญหานี้อย่างจริงจัง
ช่วงหลายวันต่อมาคนในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นหมางเมินพวกเฉียวเจามากขึ้น มาตรว่าจะติดขัดที่ฐานะของพวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ยปากขับไล่ไสส่ง แต่กลับไม่เป็นมิตรดังเช่นที่ผ่านมา เพียงเห็นไกลๆ ก็อยากเดินหนีใจจะขาด
เพราะก่อนหน้านี้ได้หารือแบ่งงานกันแล้ว ทุกคนต่างไม่เก็บมาใส่ใจ ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงทำหน้าที่อยู่รับหน้าพวกนายอำเภอหวัง ส่วนเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าของสกุลเฉียวทุกวัน
ฝ่ายเจ้าเมืองหลี่นับวันก็ยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูกกับการกระทำของคนทั้งคู่
“สองสามวันมานี้กวนจวินโหวไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าของสกุลเฉียว ดูท่าทางไม่ค่อยใส่ใจกับคดีไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวสักเท่าไร”
“ใต้เท้าอย่าได้ชะล่าใจ กวนจวินโหวแสดงท่าทีออกมาเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจงใจตบตาพวกเราก็เป็นได้”
“เรื่องนี้แน่นอน ดังนั้นข้าถึงเรียกหลิวหู่กลับมาจับตาดูเขาไว้”
ที่ปรึกษามุ่นคิ้ว “ใต้เท้า ข้าเห็นว่าท่านเรียกหลิวหู่กลับมาจะเสี่ยงอันตรายไปบ้าง จะอย่างไรเขาเป็นคนที่กำจัดสกุลเฉียวในตอนนั้น…”
เจ้าเมืองหลี่เหยียดยิ้มอย่างไม่เห็นพ้องด้วย “กวนจวินโหวมีวรยุทธ์สูงส่งเหนือผู้ใดจนเป็นที่กล่าวขวัญถึง ไม่เรียกหลิวหู่กลับมาข้าไม่สบายใจอยู่บ้างจริงๆ อาจารย์หานวางใจได้ วันนั้นที่หลิวหู่ลงมือมีเพียงหญิงม่ายที่อยู่ท้ายหมู่บ้านไป๋อวิ๋นทางทิศตะวันตกที่เคยเห็นหน้าเขาคนเดียว แล้วนางก็โดนหลิวหู่ฆ่าปิดปากไปแล้ว ดังนั้นใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้อีกยกเว้นพวกเรา หลิวหู่อยู่ข้างกายข้ามาหลายปี จู่ๆ ทิ้งเขาไว้เฉยๆ ไม่ใช้งาน ข้าไม่คุ้นชินเอาเสียเลยจริงๆ”
ยามกล่าวถึงตรงนี้ดวงตาของเจ้าเมืองหลี่ทอประกายเย็นเยียบ “อีกอย่างกำลังหนุนของพวกเขาใกล้จะมาถึงแล้ว ต่อให้มีเรื่องคาดไม่ถึงอะไร ถึงพวกกวนจวินโหวจะติดปีกบินก็หนีไม่รอด!”
ตอนพวกเฉียวเจาออกจากเรือนสกุลจูในเมืองจยาเฟิง นางทำสีหน้าหนักอึ้ง “แม่ทัพเซ่า ข้าครุ่นคิดอยู่ว่าท่านอาจูตกม้าเป็นเหตุไม่คาดฝันจริงๆ หรือไม่ วันนี้เห็นท่าทางหม่นหมองของพี่จูแล้วข้าเศร้าใจอยู่บ้าง”
พี่จู?
ได้ยินคำเรียกขานนี้ แม่ทัพหนุ่มย่นหัวคิ้วเข้าหากัน