ถ้านางเดาถูก ฉือชั่นต้องพานางไปด้วยแน่ ไม่ว่าเขาจะทำไปด้วยความสนใจใคร่รู้หรือระวังป้องกันก็ตามที
แต่หากเดาผิด…พวกฉือชั่นไม่ได้ไปที่เรือนนาง แน่นอนว่านางก็ไม่จำเป็นต้องติดตามไปแล้ว
ถึงที่สุดแล้ว นอกจากพูดสร้างความประหลาดใจให้ผู้อื่นแล้วไม่เป็นผลเสียใดๆ ต่อนางทั้งสิ้น
ทว่าสายตาของสามคนนั้นเปลี่ยนไปตามๆ กัน
ฉือชั่นถึงขั้นลืมเรื่อง ‘ชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกัน’ คว้าข้อมือของเฉียวเจาไว้หมับ “เจ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าเป็นใครกันแน่”
“เดาเจ้าค่ะ” เฉียวเจายิ้มน้อยๆ “แล้วก็ข้าเป็นบุตรสาวของอาลักษณ์หลีที่เมืองหลวง พำนักอยู่ในตรอกซิ่งจื่อบนถนนสายตะวันตก”
เฉียวเจาเอ่ยคำนี้แล้วชะงักไปเล็กน้อย
ตรอกซิ่งจื่อ…
เรือนของนางอยู่ที่สวนซิ่งจื่อ เรือนของแม่นางน้อยหลีเจา…อยู่ในตรอกซิ่งจื่อ
บังเอิญเพียงนี้เชียวหรือ
“ไม่ต้องพูดอะไรไร้สาระพรรค์นี้ เจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้ถามเรื่องนี้” ฉือชั่นมองสำรวจเฉียวเจาอีกคำรบหนึ่ง
ตอนพินิจดูนางเช่นนี้ในคราแรก เขาแค่นึกทึ่งที่เด็กสาวผู้นี้ฉลาดแกมโกงอยู่หลายส่วน
แต่ครั้งนี้เขารู้สึกว่าแม่นางน้อยนี่…ร้ายลึกจริงๆ
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ แสดงท่าทางใสซื่อไร้เดียงสาเฉกสาวน้อยอย่างแนบเนียนเต็มที่ “มันมิได้สลับซับซ้อนอย่างที่พี่ฉือคิดหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่…”
นางหยุดเว้นจังหวะก่อนกล่าวต่อ “ข้าแค่นับถือเลื่อมใสอาจารย์เฉียวอย่างล้นเหลือ ถึงได้คาดเดาเอาว่าพี่ชายทั้งสามมาจยาเฟิงเพื่อไปที่เรือนของอาจารย์เฉียว”
อันว่าบุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง* แต่เมื่อหลายสิบปีก่อน ท่านเฉียวจัวกลับได้รับการยอมรับจากบัณฑิตทั่วหล้าว่าคือคนเก่งอันดับหนึ่ง ฉะนั้นเหล่าปัญญาชนจะนับถือเลื่อมใสเขาย่อมชอบด้วยประการทั้งปวง
เด็กสาวซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งสามมีทักษะเดินหมากสูงส่งเช่นนั้น ย่อมต้องออกอ่านเขียนได้เป็นธรรมดา
“อาจารย์เฉียว…สิ้นบุญไปแล้ว” น้ำเสียงของฉือชั่นแปลกชอบกล
เฉียวเจาปวดร้าวใจ นางช้อนตาขึ้นสบตาเขา “ใช่เจ้าค่ะ แต่ใต้เท้าเฉียวยังอยู่”
ใต้เท้าเฉียวอดีตข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายคือบิดาของนาง หลังท่านปู่ล่วงลับ ท่านพาครอบครัวกลับสู่จยาเฟิงเพื่อไว้ทุกข์ให้
ท่านพ่อมีนิสัยเคร่งครัดเข้มงวดไม่เหมือนกับท่านปู่ที่ห้าวหาญรักอิสระ ส่วนทักษะด้านดีดพิณ เล่นหมากรุก เขียนอักษร และวาดภาพ หากว่ากันตามจริง แล้วยังเทียบนางไม่ได้ ทว่าคนใต้หล้าไม่ล่วงรู้
“เจ้าเดาได้เพราะอย่างนี้จริงหรือ”
“จยาเฟิงหาได้มีภูเขาชื่อดังหรือสายน้ำน่าชม ดังนั้นเหตุผลที่พี่ชายทั้งสามเดินทางจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่จึงคาดเดาได้ไม่ยากปานนั้นเจ้าค่ะ”
ฉือชั่นเขม้นตามองเฉียวเจาเป็นนานถึงเอ่ยถามต่อ “แล้วไยเจ้ามั่นใจนักว่าหากไม่พาเจ้าไปด้วย ข้ายากจะสมหวังดั่งประสงค์?”
เขามาจยาเฟิงย่อมต้องมีเป้าหมาย
เฉียวเจาแย้มยิ้มหวาน เอียงคอพูดอย่างซุกซน “รอเมื่อถึงสวนซิ่งจื่อแล้ว พี่ฉือก็จะทราบเองมิใช่หรือเจ้าคะ”
ฉือชั่นพลิกกายขึ้นม้าแล้วยื่นมือข้างหนึ่งไปหาเฉียวเจา “ขึ้นมา”
นางส่งมือให้เขา เพียงรู้สึกถึงพละกำลังมหาศาลแผ่มาระลอกหนึ่ง ตัวนางก็ลอยขึ้นจากพื้นไปอยู่บนหลังม้าในพริบตา
ในระหว่างที่เจ้าอาชาวิ่งห้อเต็มเหยียดประหนึ่งลมกรด ข้างหูได้ยินแต่เสียงลมฟิ้วๆ สุ้มเสียงเอื่อยเฉื่อยทุ้มต่ำของบุรุษดังขึ้นเหนือศีรษะ “พวกเขาสองคนพูดง่ายกว่าข้าชัดๆ ไฉนก่อนหน้านี้เจ้าไม่ขอขี่ม้าตัวเดียวกับพวกเขา”
เอ่อ…ถึงเหตุผลสำคัญที่สุดคือข้ารูปงามหล่อเหลา แต่ข้าก็ยังอยากได้ยินอะไรแปลกใหม่สักหน่อย
เฉียวเจากล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มละไม “เป็นเพราะเรื่องเดียวกันไม่พึงรบกวนคนที่สองน่ะสิเจ้าค่ะ”
นางเป็นคนกตัญญูรู้คุณคน ในเมื่อต้องจดจำบุญคุณที่ติดค้างฉือชั่นไว้ แล้วจะให้ติดค้างอีกคนหนึ่งคงไม่ได้กระมัง
ฉือชั่นทำหน้าบึ้งตึง ที่แท้จะจิกหัวใช้เขาคนเดียวนี่เอง
เขานึกไว้แล้วเชียว แม่นางน้อยผู้นี้ไม่น่ารักเลยสักนิด