หยางเอ้อร์พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วเข้าไปสำรวจดู
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาย้อนกลับมาบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เป็นเพลิงไหม้ ดูท่าว่าจะเกิดเรื่องขึ้นไม่นาน”
คนทั้งสามมองหน้ากันไปมา พลันก็กระจ่างแจ้งถึงความผิดปกติของชาวบ้านเหล่านั้น
ด้วยชื่อเสียงและคุณงามความดีของสกุลเฉียวในที่แห่งนี้ เมื่อเกิดเหตุร้ายกับคนในตระกูลนี้อย่างไม่คาดฝัน ชาวบ้านจะสวมชุดสีขาวเพื่อพวกเขาก็มิใช่เรื่องแปลก
สายลมพัดมา ดอกซิ่งร่วงพรูประหนึ่งเกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายลงมาชวนให้วังเวงหนาวเหน็บใจ
ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยวาจา
หัวใจของเฉียวเจาเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนลูกธนูดอกนั้นเสียบทะลุอกบนกำแพงเมืองเยี่ยน
ไม่สิ นี่มิอาจยกมาเปรียบเทียบกันได้เลย
ตอนนั้นลูกธนูเสียบทะลุอก นางเจ็บแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว ถึงขั้นไม่ทันได้ลิ้มรสชาติของมันให้ดีๆ ก็จมลงสู่ความมืดมิด ลืมตาขึ้นอีกทีก็กลายเป็นแม่นางน้อยหลีเจาไปแล้ว
ทว่าเสี้ยวเวลานี้ ความเจ็บปวดนี้ยังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนและคงไม่มีวันจบสิ้นตลอดไป
นางกระทำผิดอันใดเล่า ถึงต้องตายแล้วเกิดใหม่มาเผชิญกับเหตุการณ์น่าเศร้าสลดเยี่ยงนี้
เฉียวเจากำมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าทำข้าเจ็บแล้วนะ” ฉือชั่นกล่าวเสียงเรียบ
หยางเอ้อร์กับจูเยี่ยนสบตากัน
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่พวกเขาในฐานะสหายรักกลับแจ่มแจ้งดีว่าขณะนี้ฉือชั่นกำลังอารมณ์เสียอย่างมาก
ดั้นด้นเดินทางมานับพันลี้กลับลงเอยเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นใครคงไม่มีทางอารมณ์ดีได้ ยิ่งกว่านั้นนอกจากเป้าหมายล้มเหลวแล้ว ได้เห็นสกุลเฉียวประสบเคราะห์กรรมต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ คงไม่มีผู้ใดที่รู้สึกสบายใจได้
เฉียวเจาดึงสติคืนมา เมื่อสายตาปะทะเข้ากับดวงหน้าเฉยเมยเย็นชาของบุรุษรูปงามหาที่เปรียบมิได้ผู้นั้นก็คลายมือออกช้าๆ
ท่านปู่สอนสั่งให้นางทะนงตนไม่พึ่งพาผู้ใด ย่อมจะรบกวนให้ผู้อื่นมาปลอบประโลมจิตใจนางไม่ได้
“ไปกันเถอะ ไปถามชาวบ้านพวกนั้นดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฉือชั่นหมุนกายย่างเท้าไปทางสวนซิ่งจื่อ
เฉียวเจาเดินโผเผตามไป สองเท้าหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงด้วยกระสอบทรายจนค่อยๆ รั้งท้ายในที่สุด
จูเยี่ยนหันหลังกลับหยุดฝีเท้าแล้วรอคอยนาง แม้ว่าแม่นางน้อยมิได้ร่ำไห้ แต่เขารู้สึกได้ว่านางโศกเศร้าอย่างสุดแสน
เหตุใดนางถึงเป็นเช่นนี้
“เจ้ายังสบายดีกระมัง”
เฉียวเจามองเขาพลางเหยียดมุมปากออก “คงเห็นได้ชัดสินะเจ้าคะว่าข้าไม่สบายมาก”
จูเยี่ยนชั่งใจเล็กน้อยก่อนล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดที่พับทบกันอย่างเรียบร้อยจากแขนเสื้อยื่นส่งให้ “หากทุกข์ใจ ร้องไห้ออกมาจะดีกว่า”
แม้เขาไม่รู้ว่าแม่นางน้อยเสียใจถึงเพียงนี้เพราะอะไร ในใจกลับบังเกิดความรู้สึกสงสารอยู่หลายส่วน
ที่แท้บางครั้งสตรีไม่ร้องไห้น่าปวดใจยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก
น้ำใจในช่วงเวลาที่ไม่ปกติเฉกนี้ เฉียวเจาไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งไม่คิดจะปฏิเสธด้วย
นางยื่นมือรับผ้าเช็ดหน้ามาซับๆ ดวงตาแล้วก็เช็ดจมูก จากนั้นจึงกล่าวขอบคุณจากใจจริง “พี่จู* ท่านช่างแสนดีจริงๆ เจ้าค่ะ”
‘พี่จูผู้แสนดี’ ถึงกับพูดอะไรไม่ออก “…”
ชั่วครู่ใหญ่ เขาถึงกล่าวตอบคำหนึ่ง “เจ้าสบายขึ้นแล้วก็ดี”
เมื่อเดินทะลุสวนซิ่งจื่อออกมา จูเยี่ยนมองดูฉือชั่นที่มีท่าทางห่อเหี่ยวอย่างชัดเจน เขาลังเลใจครู่หนึ่งถึงไต่ถามเฉียวเจา “หรือไม่เจ้ามานั่งซ้อนกับข้า”
เฉียวเจาชะงักไป
ฉือชั่นตวัดมองตาขุ่น พูดอย่างหงุดหงิด “มัวยืดยาดอะไรอยู่ ยังไม่ขึ้นม้าอีก”
เขายื่นมือดึงเฉียวเจาขึ้นมาบนหลังม้าแล้วควบตะบึงไปข้างหน้า