บทที่ 752
“มีอะไร ท่านอยากเสียบดอกไม้เช่นกันหรือ” เฉียวเจาชายตามองเซ่าหมิงยวนพลางพูดกระเซ้า
ชายหนุ่มหัวเราะ “ถ้าเจาเจาเสียบให้ข้า อย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่ได้นะ”
บุรุษทัดดอกไม้ในวันมงคลหาใช่เรื่องผิดขนบจารีตไม่ ซ้ำยังเป็นเรื่องปกติอย่างมาก กระนั้นโดยมากมักเป็นบัณฑิตปัญญาชน แต่สำหรับกวนจวินโหวแล้วออกจะตรงกันข้ามกับฉายา ‘แม่ทัพกระดูกเหล็ก’ นามกระเดื่องทั่วหล้ามากเกินไปสักหน่อย
“เมื่อครู่เรียกข้าด้วยเหตุใดหรือ” ยามอยู่ต่อหน้าพี่ชายกับน้องสาวคนเล็ก เฉียวเจาไม่ต่อปากต่อคำกับเขาเป็นธรรมดา
“เจาเจา เจ้าว่าเกี๊ยวที่ข้าห่อตัวนี้เป็นอย่างไร”
เฉียวเจามองๆ แล้วพยักหน้า “ห่อเรียบร้อยกว่าข้า”
ดังนั้นนี่เขาจะมาโอ้อวดหรือ
ยกข้อดีของตนข่มข้อด้อยของผู้อื่นรึ บุรุษผู้นี้สมควรถูกสั่งสอนเสียแล้ว!
“เจ้าดูนะ ข้าทำจีบเพิ่มไว้ตรงนี้ รอถึงยามจื่อตอนต้มเกี๊ยวกิน เจ้ากินตัวนี้นะ” เซ่าหมิงยวนลดสุ้มเสียงเบาลง “ข้าใส่น้ำตาลก้อนหนึ่งไว้ข้างใน”
กินเกี๊ยวคำแรกเจอน้ำตาลเป็นนิมิตดีว่าตลอดปีจะสุขสมหวานชื่น ไม่พบกับความทุกข์ยากลำบาก
“ท่านโกงนี่นา”
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วสูง “ใครบอก ข้าไม่ได้บอกเจ้าตอนกินเกี๊ยวสักหน่อย”
“พี่เขย พวกท่านซุบซิบอะไรกันเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนนั่งตัวตรง แล้วเอ่ยตอบอย่างเคร่งขรึม “พี่เขยสอนพี่สาวของเจ้าห่อเกี๊ยว”
เฉียวหว่านมองๆ เฉียวเจาแล้วพูดอุบอิบ “เป็นพี่หลีต่างหาก”
พี่เขยบอกเช่นนี้ คนที่ไม่รู้จะนึกว่าพี่หลีคือพี่เจาของข้านะ
แม้นการได้อยู่ร่วมกันในช่วงที่ผ่านมานี้เฉียวหว่านจะรู้สึกว่าพี่หลีเป็นคนดีมาก แต่จะดีปานใดก็มิใช่พี่เจาอยู่ดี
ถึงแม่นางน้อยจะพูดเสียงเบามาก แต่อีกสามคนกลับได้ยินแล้วสบตาซึ่งกันและกัน จากนั้นนิ่งเงียบไปในชั่วขณะ
ทว่าก่อนเฉียวหว่านจะรู้สึกได้ว่าบรรยากาศเปลี่ยนไป เฉียวโม่ก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “มา หว่านวาน พี่ใหญ่สอนเจ้าห่อเกี๊ยว”
บรรยากาศกลับมาชื่นมื่นกลมเกลียวในเวลาสั้นๆ
ถึงยามจื่อเสียงประทัดจากด้านนอกดังขึ้นไม่ขาดสาย เฉียวโม่ปลุกน้องสาวคนเล็กที่สะลึมสะลือหลับไปให้ตื่นขึ้น
“หว่านวาน ถึงเวลาตื่นขึ้นมากินเกี๊ยวได้แล้ว”
เซ่าหมิงยวนผินหน้าถามเฉียวเจา “ง่วงหรือยัง”
ในวันส่งท้ายปีเก่ามีธรรมเนียมเฝ้าปี* จะต้องรอจนถึงยามจื่อกินเกี๊ยวเสร็จแล้วถึงจะเข้านอนได้ ซึ่งเป็นเวลาดึกดื่นกว่าปกติมาก เซ่าหมิงยวนเป็นห่วงว่านางจะทนไม่ไหว
“ไม่เป็นไร ข้ายังไม่ง่วง”
ไม่นานนักเกี๊ยวต้มส่งควันฉุยก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ เฉียวเจากวาดตามองก็พบว่าเกี๊ยวที่ต้มสุกแล้วไม่มีเครื่องหมายที่ทำไว้เป็นพิเศษเลย นางจึงสุ่มคีบตัวหนึ่งเข้าปาก
ครั้นกัดเปลือกเกี๊ยวแตกน้ำรสหวานก็แผ่ซ่านถึงปลายลิ้น เฉียวเจานิ่งขึงไปเล็กน้อย นางหันไปมองชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ
“เป็นไส้อะไร”
“หวาน”
เซ่าหมิงยวนยิ้มหน้าระรื่น
อืม ประเดี๋ยวต้องตกรางวัลเป็นซองแดงซองใหญ่ให้คนครัวที่ตักเกี๊ยวแล้ว ทำได้ดีมาก
เฉียวเจามองเขาด้วยสายตาเป็นนัยๆ ถึงจะรู้ว่าเรื่องนี้ต้องแฝงกลเม็ดบางอย่างเอาไว้ หากแต่ในใจนางกลับหวานล้ำ
ไม่ว่าอย่างไรนิมิตมงคลก็เป็นเรื่องน่ายินดี หวังว่าปีใหม่นี้นางกับเขาจะหวานชื่นดุจเสี้ยวเวลานี้
“พี่หลีโชคดีจริงๆ เจ้าค่ะ ข้าเจอแต่เนื้อหมู” เฉียวหว่านอิจฉาสุดประมาณ
หลังทั้งสี่กินเกี๊ยวกันอย่างสนุกสนานครื้นเครงจนหมด ดรุณีน้อยก็ง่วงงุนจนลืมตาไม่ขึ้นแต่แรกแล้ว
“ข้าไปส่งหว่านวานที่เรือนเอง” เฉียวโม่พาเฉียวหว่านออกไป
การเก็บจานชามย่อมมิใช่หน้าที่ของผู้เป็นนาย เซ่าหมิงยวนจูงมือเฉียวเจาพลางกล่าว “พวกเราไปล้างหน้าบ้วนปากแล้วพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้ายังต้องเข้าวังไปถวายพระพรวันตรุษอีก”
บัดนี้เฉียวเจาไม่ใช่บุตรสาวของอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตที่ไร้ความสำคัญอีกต่อไป แต่เป็นถึงฮูหยินท่านโหวผู้ทรงเกียรติ วันที่หนึ่งเดือนหนึ่งก็ต้องเข้าวังไปถวายพระพรต่อองค์ไทเฮาอย่างแน่นอน
ตลอดราตรีไร้เสียงสนทนา
ท้องฟ้ายังมืดอยู่ เฉียวเจาตื่นขึ้นมาล้างหน้าบ้วนปากแล้วแต่งองค์ทรงเครื่อง เพียงสางผมผลัดอาภรณ์ก็ใช้เวลาไปมากกว่าครึ่งชั่วยาม
ในวันปีใหม่นี้นายหญิงตราตั้งกับขุนนางบุ๋นบู๊จะแยกกันถวายพระพร เซ่าหมิงยวนขี่ม้า ขณะที่เฉียวเจานั่งรถม้า ต่างคนต่างมุ่งหน้าไปยังวังหลวง
พระราชวังที่ประดับประดาด้วยโคมไฟและผ้าแพรสีขับไล่ความมืดมิดก่อนอรุณรุ่งออกไป แลดูตระการตาน่าเกรงขามท่ามกลางแสงไฟแพรวพราย
ตอนเฉียวเจาไปถึงที่นั่นมีนายหญิงตราตั้งรอคอยอยู่มากมาย พอเห็นขันทีน้อยถือโคมไฟนำทางนางเข้ามาก็พากันหันมามอง