พระธิดาที่ครองตัวเป็นม่ายของนางกลับมีครรภ์แล้ว นี่เป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาอะไรได้
หยางไทเฮาฝืนข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านตรงกลางอกไว้และเอ่ยถามขึ้น “กี่เดือนแล้ว”
“ยังไม่ครบหนึ่งเดือนครึ่ง เป็นช่วงที่เพิ่งตรวจพบได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เอาล่ะ แพทย์หลวงออกไปก่อนเถอะ” หยางไทเฮาทำมือบอกไหลสี่ให้พาเขาออกไป
ภายในตำหนักเหลือเพียงไทเฮากับพระธิดาตามลำพัง
พอเห็นองค์หญิงใหญ่ฉางหรงทำสีหน้าเหลือเชื่อแล้ว หยางไทเฮาก็ตบโต๊ะน้ำชาด้วยความโมโห “เป็นบุตรของผู้ใด”
พอพระมารดามีน้ำโห องค์หญิงใหญ่ฉางหรงกลับเยือกเย็นลง นางกล่าวเสียงเนือยๆ “หม่อมฉันจะรู้ได้อย่างไรเพคะ”
นางชุบเลี้ยงชายบำเรอไว้ตั้งมากมาย มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเป็นคนใด
เพียงแต่ว่าหลังนางคลอดชั่นเอ๋อร์ก็ไม่เคยมีครรภ์อีกเลยแท้ๆ ไฉนถึงวัยนี้แล้วจู่ๆ ก็ตั้งครรภ์ได้เล่า
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงหวนนึกถึงสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มตอนเฉียวเจามองนางเมื่อครู่นี้กะทันหัน
แม่เด็กน้อยผู้นั้นพูดว่าอะไรนะ
ขอถวายความยินดีกับองค์หญิง
ยินดีกับองค์หญิง…
ไร้เหตุผลสิ้นดี แม่เด็กน้อยนั่นถึงกับประชดประชันข้าเช่นนี้!
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงอยู่อย่างทรงเกียรติห้อมล้อมด้วยข้าทาสบริวารมาเนิ่นนาน ไหนเลยจะเคยถูกคนหยามน้ำหน้าโดยไม่รู้ตัวเฉกนี้ นางแจ่มแจ้งแล้วก็โมโหจนมือสั่น
หยางไทเฮาเห็นแล้วเจ็บแน่นหน้าอกด้วยความโกรธเกรี้ยว “นี่คือท่าทีของเจ้ารึ! ข้าบอกกับเจ้ามาตั้งนานแล้วให้สำรวมตนบ้าง ถ้าบุตรชายเจ้าตบแต่งภรรยาเร็ว ป่านนี้เจ้าคงมีหลานวิ่งเล่นทั่ววังแล้ว เจ้ากลับไม่รู้ฟัง! ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า มีมารหัวขนอยู่ในท้องแล้ว เจ้าจะให้ชั่นเอ๋อร์เอาหน้าไปวางไว้ที่ใด”
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเชิดหน้า ไฟโทสะจุดวาบขึ้นในดวงตานาง “หน้าของเขาหรือ หม่อมฉันไม่เคยผิดต่อเขาเพคะ”
“เจ้า…” หยางไทเฮาตั้งท่าบันดาลโทสะ แต่เห็นท่าทางหยิ่งผยองดื้อดึงของพระธิดาแล้วคับใจจนเอื้อนเอ่ยวาจาไม่ออก
หากพระธิดายอมรับฟังคำเตือน คงไม่ประพฤติตนเหลวไหลมานานหลายปีเช่นนี้
“ช่างเถิด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วพูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ รอสองวันนี้ผ่านไปให้แพทย์หลวงหยางต้มยาให้เจ้าดื่ม ค่อยหาคนที่เชื่อใจได้มาคอยดูแลเจ้าเถอะ”
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วพยักหน้า
นางให้กำเนิดบุตรผู้นี้ออกมาไม่ได้อย่างแน่นอน แม้ว่าที่นางชุบเลี้ยงชายบำเรอจะมิใช่ความลับอันใด แต่อย่างไรก็ไม่ได้กระทำอย่างออกหน้าออกตา พอประตูวังองค์หญิงใหญ่ปิดลง ผู้ใดจะมายุ่งเรื่องของนางเล่า
แต่ทันทีที่คลอดบุตรออกมาก็ไม่เหมือนกันแล้ว นางคงกักขังบุตรผู้นี้ไว้ในวังองค์หญิงใหญ่ไม่ให้เห็นแสงเดือนแสงตะวันไปชั่วชีวิตไม่ได้
“ยังมีทางฮูหยินของกวนจวินโหว…”
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงทำหน้าขรึมมองพระมารดา
หยางไทเฮาทอดถอนใจ “ในเมื่อถูกนางจับผิดได้แล้ว อย่างไรก็ต้องเอาอกเอาใจนางให้ดีๆ”
สีหน้าขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงบึ้งตึงไปหมด
อะไรกัน ข้ายังต้องเอาใจคนที่ประชดประชันข้าอีกหรือ
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเจ็บใจสุดจะกล่าว จนใจที่จุดอ่อนอยู่ในมือคนอื่น ท้ายที่สุดนางจำต้องยอมลดราวาศอก
แต่ก่อนคนที่ขวางหูขวางตานางล้วนโดนนางเล่นงานทันที ตอนนี้กลับตาลปัตรเสียได้ คิดๆ แล้วก็น่าคับแค้นใจนัก!
ด้านเฉียวเจากลับถึงจวนได้ไม่นานทางวังหลวงก็ส่งของพระราชทานสวยๆ งามๆ มาให้มากมาย
เซ่าหมิงยวนเอ่ยยิ้มๆ “เจาเจา เจ้าเข้าวังคราเดียวได้รับของพระราชทานมากกว่าของพระราชทานเดือนสิบสองของข้าอีกนะ”
อืม ภรรยาของข้าเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของใครๆ ดังคาด กระทั่งไทเฮาก็มิใช่ข้อยกเว้น
เฉียวเจาอมยิ้ม “ข้าก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน”
นี่เห็นทีว่าไทเฮาเชิญแพทย์หลวงมาตรวจอาการขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงแล้วเลยมอบค่าปิดปากให้สูงลิ่ว
“เจาเจา พรุ่งนี้จะไปอวยพรวันตรุษที่เรือนท่านพ่อตา พวกเราหารือกันสักหน่อยว่าควรนำของขวัญอะไรไปถึงเหมาะสมเถอะ”
ในห้องหนังสือวางอ่างไฟตั้งไว้หลายใบ ถ่านไหมเงินติดไฟลุกโชน สองสามีภรรยาหนุ่มสาวนั่งเคียงข้างกันที่ข้างโต๊ะหนังสือ คนหนึ่งฝนหมึก คนหนึ่งถือพู่กัน ช่วยกันร่างรายชื่อของขวัญตอนกลับไปเยี่ยมสกุลเดิม
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.