ฉือชั่นอยู่ในสภาพกึ่งเมากึ่งมีสติ สองแก้มแดงก่ำดุจเปลวไฟ หากนัยน์ตาทั้งคู่กลับเป็นประกายระยับ เขาเห็นสหายรักแล้วพูดยิ้มๆ “เจ้ามาได้อย่างไรกัน”
เซ่าหมิงยวนก้าวเข้าไปคว้าชามสุราในมือเขามาวางลงด้านข้าง
ฉือชั่นเลิกคิ้วมองเขา “ทำอะไรของเจ้า”
“ดื่มสุราลำพังน่าเบื่อเพียงใด” เซ่าหมิงยวนกระดกชามสุราดื่มรวดเดียวหมดค่อยหยิบไหสุรามารินเติมจนเต็ม
ฉือชั่นหรี่ตามองเขานานครู่ใหญ่ถึงหัวเราะออกมา “เจ้ารู้แล้วหรือ หลีซานบอกเจ้าสินะ”
เขาคิดๆ แล้วความโกรธก็แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ
“นางบอกเจ้า ไม่บอกข้า”
มารดาของเขาตั้งครรภ์ ไม่ใช่มารดาของเซ่าหมิงยวนตั้งครรภ์สักหน่อย!
เซ่าหมิงยวนกล่าวปลอบ “ตอนแรกนางก็ไม่บอกข้าเหมือนกัน แต่เดาว่าเจ้ารู้แล้วถึงได้เล่าให้ข้าฟัง”
“แล้วเหตุใดนางไม่บอกข้าโดยเร็ว จะรอหัวเราะเยาะข้าใช่หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้มอย่างจนปัญญา “สือซี เจ้าดื่มมากไปแล้ว นางจะหัวเราะเยาะเจ้าได้อย่างไร เดิมทีนางนึกว่า…”
“นึกว่าข้าไม่รู้?” รอยยิ้มของฉือชั่นดูหม่นหมองขึ้นทุกที “นั่นสิ ข้าสมควรทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปเสีย เผอิญกลับรนหาที่ไปถามเอง”
เห็นเขาจะหยิบชามสุราขึ้นดื่มอีกเซ่าหมิงยวนก็ยึดข้อมือเขาไว้ “สือซี อย่าดื่มเลย”
ฉือชั่นพยายามลืมตาที่ฉ่ำปรือขึ้น น้ำตาปริ่มซึมทางหางตาทอประกายวาววาม “ท่านแม่จะคลอดเด็กออกมา”
เซ่าหมิงยวนอ้าปากแล้วหุบปาก เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอับจนวาจา ได้แต่เอ่ยปลอบอย่างระมัดระวัง “ในเมื่อผู้อาวุโสตัดสินใจเช่นนี้แล้ว เจ้าก็ปล่อยวางบ้างเถอะ”
เขาอยู่ที่แดนเหนือหลายปี พบเห็นผู้คนกล่าววาจาและกระทำสิ่งซึ่งจะถูกมองว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อในยามบ้านเมืองสงบสุขเพื่อความอยู่รอดจนชินตาแล้ว การที่องค์หญิงใหญ่ฉางหรงตัดสินใจให้กำเนิดบุตรหาได้สร้างความตกใจให้เขามากเท่าไรนัก
“เจ้าคิดว่าข้าทุกข์ใจเพราะท่านแม่จะคลอดบุตรหรือ” รอยยิ้มเยาะหยันผุดขึ้นตรงมุมปากของฉือชั่น เขาเริ่มต้านทานฤทธิ์สุราที่พลุ่งพล่านขึ้นมาไม่ค่อยไหวแล้ว จึงวางสองมือทาบกับพื้นโต๊ะแล้วฟุบหน้าอยู่นานครู่ใหญ่โดยไม่เปล่งเสียงพูด
เซ่าหมิงยวนอยู่เป็นเพื่อนเขาเงียบๆ
“ไฉนท่านแม่ถึงคิดกับข้าอย่างนี้ได้นะ ข้าจะไม่ไยดีความปลอดภัยของท่านแม่เพราะศักดิ์ศรีหน้าตาไร้สาระพวกนั้นหรือ” เสียงพูดอู้อี้ดังลอยมา เซ่าหมิงยวนไม่เห็นสีหน้าของเขา จับได้เพียงน้ำเสียงที่เยาะเย้ยตนเองระคนเจ็บช้ำน้ำใจ
“ในใจของท่านแม่เห็นข้าเป็นอะไร เป็นอะไรกันแน่” ฉือชั่นเงยหน้าขึ้นในที่สุด ใบหน้าของเขามีน้ำตานองแล้ว ดวงตาแดงเรื่อ น้ำตาเย็นเฉียบไหลหยดลงบนนิ้วมือเรียวยาว ปลายนิ้วเขาเย็นเฉียบดุจเดียวกัน ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนเทียบไม่ได้กับความหนาวเหน็บในใจเขา
“สือซี…” เซ่าหมิงยวนตบบ่าเขาแรงๆ
“ถิงเฉวียน สมัยเจ้าเป็นเด็กตอนที่ยังเข้าใจว่าฮูหยินของจิ้งอันโหวเป็นมารดาบังเกิดเกล้า เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าถ้าตนเองไม่เกิดมาก็คงจะดี”
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยตอบ “ไม่เคยคิด”
ฉือชั่นมองเขาเงียบๆ
เซ่าหมิงยวนหัวเราะ “ยามนั้นข้าเพียงอยากรู้ว่าตนเองทำไม่ดีตรงที่ใด หากพยายามมากขึ้นท่านแม่จะชมชอบข้าใช่หรือไม่ จากนั้นข้าพยายามไปเรื่อยๆ ก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
ฉือชั่นยกชามสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่แล้วปิดปากไอเพราะดื่มเร็วเกินไปจนสำลัก “หวังว่านางจะคลอดบุตรชายสักคน เช่นนี้ข้าก็ได้ปลดเปลื้องโดยสิ้นเชิงแล้ว”
เป็นเยี่ยงนี้ก็ดี วันหน้าข้าสามารถเป็นตัวของตนเอง นับแต่นี้ไปไม่ต้องแบกรับความคาดหวังและถูกผูกมัดอีกแล้ว
ในตำหนักฉือหนิง หยางไทเฮาได้ฟังรายงานจากแพทย์หลวงหยางแล้วในใจก็ปั่นป่วนแทบคลุ้มคลั่ง
“ขับเด็กในครรภ์ออกไม่ได้จริงๆ หรือ” หลังถามซ้ำๆ สามรอบหยางไทเฮาถึงยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้
พอเห็นสีหน้าสิ้นหวังของหยางไทเฮาแล้ว แพทย์หลวงหยางเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “บางทีลองเชิญเหล่าแพทย์หลวงมาร่วมหารือกัน อาจคิดหาวิธีที่เหมาะสมได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ในสำนักแพทย์หลวงเขาไม่นับเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านโรคของสตรีที่สุด แต่เพราะเป็นคนสกุลเดียวกับไทเฮาถึงกลายเป็นแพทย์หลวงที่จับชีพจรดูแลพระพลานามัยให้ไทเฮาบ่อยที่สุด
“นี่จะได้อย่างไรกัน” นางปฏิเสธคำแนะนำของเขาทันที
เชิญแพทย์หลวงมาช่วยกันคิดแผนการรักษา เช่นนั้นเรื่องฉางหรงตั้งครรภ์จะไม่รู้กันไปทั่วหรือ
“เจ้าออกไปก่อนเถอะ ให้ข้าลองตรองดูดีๆ”
แพทย์หลวงหยางรีบออกไปอย่างเร็วรี่ราวกับได้รับอภัยโทษก็ไม่ปาน
หยางไทเฮาหลับตาลง รู้สึกปวดศีรษะแทบแตก
มารหัวขนในครรภ์ของฉางหรงจะเก็บไว้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเมื่อคลอดออกมาจะกลายเป็นความอัปยศของเชื้อพระวงศ์ ถึงขั้นที่ภายหลังจะถูกจารึกลงในพงศาวดาร
“ไหลสี่” หยางไทเฮาลืมตาพรึบ “เรียกหลีซื่อฮูหยินของกวนจวินโหวเข้าวัง”
เมื่อเฉียวเจาได้รับพระเสาวนีย์ที่ไหลสี่นำมาถ่ายทอดแล้วก็ไม่รู้สึกประหลาดใจ นางกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “กงกงโปรดรอสักครู่ ข้าขอตัวไปผลัดอาภรณ์”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.